7 Zen Principles (And How To Apply Them To Modern Life)

Chalermchai Aueviriyavit
5 min readApr 19, 2024

--

7 คำสอนของนิกายเซน (และวิธีปรับใช้กับชีวิตยุคใหม่)

https://thoughtcatalog.com/brianna-wiest/2018/02/zen-principles/

By Brianna Wiest Updated February 16, 2021

Our biggest aversion to psychological guidance systems — religious or not — tends to be skepticism bred out of (assumed) inapplicability.

ความเกลียดชังการให้คำปรึกษาของเรา ไม่ว่าจะเป็นทางศาสนาหรือไม่เกี่ยวกับศาสนา มักเกิดจากการที่เราสงสัยว่า (สมมติ) ว่าสิ่งนี้ไม่ได้ผล

We’ll trust lifestyle magazines and blog posts and cultural norms. This is simply because they make sense to us. They become self-evident “truth” when we can easily apply them to our issues.

เราเชื่อในบทความและความคิดเห็นที่ตีพิมพ์ในนิตยสารไลฟ์สไตล์และสื่อด้วยตนเอง เพียงเพราะว่าเข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้ทันที

But we don’t often consider the source, or the intention, or the long-term significance of what it is we begin to believe in. When the extent of our personal philosophy is, essentially, to just do what we’re told without questioning, we end up serving consumerism, or ego, or misguided religious figures or someone else’s desire for control.

แต่เรามักจะไม่คำนึงถึงแหล่งที่มา ความตั้งใจ หรือความสำคัญระยะยาวของสิ่งที่เราเริ่มเชื่อ เมื่อขอบเขตของปรัชญาส่วนตัวของเรา โดยพื้นฐานแล้วคือเพียงทำสิ่งที่เราได้รับการบอกกล่าวโดยไม่ต้อง หากตั้งคำถาม เราก็จบลงด้วยการรับใช้ลัทธิบริโภคนิยม หรืออัตตา หรือบุคคลทางศาสนาที่หลงทาง หรือความปรารถนาที่จะควบคุมของผู้อื่น

Despite being a derivative of Buddhist teaching, Zen is simply the art of self-awareness. It does not dictate what you should feel or believe in; how you should be or what you should do…only that you should be conscious of your experience, fully immersed in it.

แม้ว่าเซนจะเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกมาของคำสอนทางพุทธศาสนา แต่ก็เป็นเพียงศิลปะเกี่ยวกับความรู้ในตนเอง มันไม่ได้บอกคุณว่าคุณควรรู้สึกหรือเชื่ออะไร คุณควรเป็นใคร หรือควรทำอะไร…แต่เพียงบอกคุณว่าคุณควรตระหนักถึงประสบการณ์ของคุณและดื่มด่ำไปกับประสบการณ์นั้นอย่างเต็มที่

It’s for this reason that Zen principles are universal — they can apply to any dogma or lifestyle, essentially. So here are eight ancient teachings of Zen and how to navigate them in the modern world.

ด้วยเหตุนี้ หลักการของเซนจึงสามารถนำไปใช้กับคนจำนวนมากได้ โดยพื้นฐานแล้วสามารถนำไปใช้กับไลฟ์สไตล์ใดก็ได้ ต่อไปนี้เป็นคำสอนโบราณ 7 ประการของพุทธศาสนานิกายเซน และวิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตสมัยใหม่

1. Your experience is constructed by your mind. ประสบการณ์ของคุณถูกสร้างขึ้นโดยจิตใจของคุณ The Yogācāra discourse essentially explains how our mind’s perceptions create our experiences. Therefore, we must realize that, even despite our disposition, we can create a different experience simply by shifting and choosing what to focus on. We are raised to believe that we cannot choose what we think about, when, in fact, we can. Not every fear feeling or negative thought is an invitation to explore it to a resolutive end. วาทกรรมเกี่ยวกับโยคะโดยพื้นฐานแล้วอธิบายว่าการรับรู้ทางจิตของเราสร้างประสบการณ์ของเราได้อย่างไร เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างได้โดยการเปลี่ยนทิศทางและเปลี่ยนโฟกัส เราคิดอยู่เสมอว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เราคิดได้ แต่จริงๆ แล้วเราทำได้ สามารถควบคุมความรู้สึกกลัวหรือความคิดเชิงลบได้

2. Your concept of self is an illusion (and construct) as well. ตัวตนคือความเชื่อ (หรือโครงสร้างของสมอง) ที่เกิดจากประสบการณ์ในอดีต “Who you are” is an essence. An energy. That’s it. That’s why it’s never “one thing” for too long or in any given context. That’s why it’s so difficult to understand yourself — you’re more than the limiting definitions and titles repetitive habits and jobs and roles provide. However, most of us only understand ourselves as we imagine other people see us. (Writer, teacher, mom, student, basketball player, “good person,” etc.) Most of our issues surround trying to manipulate the ego; trying to inflate or immortalize the self. Trying to shift and change how we think other people see us (therefore, how we believe we exist in reality, and so how we should see ourselves). “คุณเป็นใคร” แสดงถึงแก่นแท้และพลังงาน คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาเป็นใครก็ต่อเมื่อพวกเขาจินตนาการว่าพวกเขาปรากฏต่อผู้อื่นอย่างไร (นักเขียน ครู แม่ นักเรียน นักบาสเกตบอล “คนดี” ฯลฯ) หัวใจของปัญหาส่วนใหญ่ของเราคือการบงการตนเอง เพื่อทำให้ตนเองพองโตหรือเป็นอมตะมากขึ้น ในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของผู้อื่นเกี่ยวกับเรา แม้ว่าการรับรู้เหล่านั้นจะเป็นเพียงจินตนาการของเราก็ตาม

Mastering the idea of self is knowing that you can play out the illusion of who you are and what you do while not being so lost in it that it controls you.

การควบคุมตนเองคือการรู้ว่าคุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณเป็นใครและทำอะไร แทนที่จะหลงไปกับมันและถูกควบคุมโดยมัน

3. You need not believe in anything; you only need to follow what feels true in the moment. คุณไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรเลย แค่ทำตามความรู้สึกที่ถูกต้องในขณะนั้น The trouble with adhering to a certain, set belief system without question is that when you value (or consider) the voices that were implanted into you by someone else’s dogma or teaching, you start trusting that more than you trust yourself, and you’ll end up either very lost or very confused, battling between what you think is right and what you feel is true. หากคุณยึดมั่นในความเชื่อที่มั่นคงโดยไม่มีคำถาม และปล่อยให้ผู้อื่นปลูกฝังความเชื่อหรือคำสอนในตัวคุณ เมื่อคุณเริ่มเห็นคุณค่าของเสียงเหล่านั้น คุณจะเชื่อในเสียงเหล่านั้นมากกว่าที่คุณเชื่อในตัวเอง และสุดท้ายคุณจะหลงทางอย่างมาก หรือ สับสนมากและไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้องหรือสิ่งที่คุณรู้สึกถูกต้อง

If you aren’t living your life by what you know to be true, you aren’t following your highest good. Allow yourself the ability to expand and grow by thinking (and feeling) beyond what your current dogma “allows.”

หากคุณไม่ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่คุณรู้ว่าเป็นความจริง แสดงว่าคุณไม่ได้ดำเนินชีวิตตามหลักการสูงสุดของคุณ ปล่อยให้ตัวเองคิดเกินกว่าที่คำสอนปัจจุบันของคุณ “อนุญาต” เพื่อที่คุณจะได้สามารถที่จะขยายและเติบโตได้

4. The ultimate path to happiness is non-attachment. หนทางสู่ความสุขขั้นสูงสุดคือการ “ละทิ้งความหมกมุ่น” And before you get all caught up in the impossibility of not caring about the outcome of your life, understand that non-attachment is much more (and yet much simpler) than “not caring” how things turn out. It’s about the simple understanding that all things serve you. The “bad” things teach you and show you how to heal to open even further to the “good” things. It cannot be put much simpler than that.

ก่อนที่คุณจะใส่ใจกับผลลัพธ์ต่างๆ ในชีวิต คุณต้องเข้าใจก่อนว่า “การปล่อยวางความหมกมุ่น” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่ใส่ใจ” กับผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆ “ปล่อยวางความหมกมุ่น” หมายถึงการตระหนักว่าทุกสิ่งคือการจัดวางที่ดีที่สุด . สิ่งที่ “แย่” กำลังสอนวิธีรักษาตัวเอง เพื่อที่คุณจะได้เปิดใจรับสิ่งที่ “ดี” ได้ มันง่ายมาก

5. “Doing” is not as important as simply “being.” การเป็นสำคัญมากกว่าการทำ Meditative states can be achieved though a variety of practices, but perhaps the most underutilized among them is just “sitting.” The art of doing “nothing” is profound. It quiets the waters of your mind, brings forth what needs to be immediately acknowledged and healed, and keeps you connected to yourself, not the attachments and responsibilities you have in your life. The point is: You are not what you do; you simply are. Aside from a meditation practice, giving yourself the time to relax, recuperate, and reflect is of the upmost importance. สภาวะแห่งการทำสมาธิสามารถบรรลุได้ด้วยการปฏิบัติที่หลากหลาย แต่บางทีการปฏิบัติที่ไม่ค่อยมีประโยชน์มากที่สุดก็คือการนั่งนิ่งๆ มันทำให้จิตใจสงบ แสดงให้คุณเห็นถึงสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับและเยียวยาในขณะนี้ และช่วยให้คุณเชื่อมโยงกับตัวเอง และไม่รู้สึกติดอยู่กับความหลงใหลและความรับผิดชอบในชีวิตของคุณอีกต่อไป

ประเด็นคือ: สิ่งที่คุณทำไม่ได้เป็นตัวแทนของคุณ คุณเป็นเพียงคุณ นอกจากการฝึกสมาธิแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลาย พักฟื้น และไตร่ตรอง

6. You can be an objective observer of your mind and your life. คุณสามารถเป็นผู้สังเกตการณ์ความคิดและชีวิตของคุณเองได้อย่างเป็นกลาง It’s one thing to know that you can choose your thoughts, but it’s really more to realize that you can also decide which ones you value, if only you are able to see them all objectively. Guided meditation practices will often have you observe thoughts as they pass, as a third-party viewer. The point being to teach you that you are not those thoughts. You are not your feelings. You are the being that experiences those thoughts and feelings, who decides which to value and act on. คุณสามารถเลือกความคิดของตัวเองได้ และตัดสินใจได้ว่าความคิดไหนควรมีคุณค่า ตราบใดที่คุณสามารถมองความคิดเหล่านั้นได้อย่างเป็นกลาง

การฝึกสมาธิแบบมีคำแนะนำมักจะทำให้คุณเป็นบุคคลที่สามที่ตระหนักถึงความคิดของคุณ ประเด็นก็คือต้องเข้าใจว่าคุณไม่ใช่ความคิดของคุณ คุณไม่ใช่ความรู้สึกของคุณ คุณคือสิ่งมีชีวิตที่ประสบกับความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ และคุณคือผู้ตัดสินใจว่าความคิดใดให้คุณค่าและดำเนินการ

7. Your natural state is oneness. สภาพธรรมชาติของคุณคือการเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นอยู่ของคุณ The reality we will all return to eventually is that everything is one. (This is the basis of enlightenment.) It is in the illusion of separateness that we suffer. It is playing out the ideas of individualism that we learn. It is to our natural state, unification, that we eventually return. ในที่สุดเราจะตระหนักว่าทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว (นี่คือพื้นฐานของการตรัสรู้) หากคุณไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงนี้ คุณจะมีภาพลวงตาของการแยกตัวจากตัวคุณเองและโลกรอบตัว และความเจ็บปวดก็จะตามมา ในที่สุดเราทุกคนก็กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติของเรา — เป็นหนึ่งเดียวกันกับตัวตนที่แท้จริงของเรา

จาก 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ (101 Essays That Will Change The Way You Think) ผู้เขียน Brianna Wiest

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

--

--

Chalermchai Aueviriyavit
Chalermchai Aueviriyavit

Written by Chalermchai Aueviriyavit

Happiness,Design Thinking, Psychology, Wellbeing

No responses yet