Chalermchai Aueviriyavit
9 min readApr 7, 2022

Pleased to meet me by Bill Sullivan

ยินดีที่รู้จักฉัน Genes, Germs, and the Curious Forces That Make Us Who We Are — August 6, 2019

https://www.amazon.com/Pleased-Meet-Me-Curious-Forces/dp/1426220553
https://www.naiin.com/product/detail/511694

เรามักเชื่อว่าสิ่งที่เราเป็น เราเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมการกิน, รสนิยมทางเพศ, บุคลิกภาพ, อุดมการณ์ทางการเมือง, ศาสนา ฯลฯ แต่หนังสือเล่มนี้จะท้าทายความเชื่อนั้น โดยบอกว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ตัวเราเป็น “เรา” ทุกวันนี้ คืออิทธิพลจากพลังเร้นลับของจุลชีพภายในตัวเรา และกลไกทางพันธุกรรมศาสตร์และพันธุกรรมเหนือยีนส์ ซึ่งส่งผลอย่างลึกล้ำเหลือเชื่อต่อวิถีชีวิต

“เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น เพราะเมื่อรู้ว่ามีสิ่งที่เรามองไม่เห็นส่งอิทธิพลกับตัวเรามากมาย จะทำให้เรามองตัวเองในมุมใหม่ เปิดรับและเข้าใจความต่างได้ดีขึ้น เพราเห็นว่าเราทุกคนก็ได้รับอิทธิพลนี้เหมือนกัน และเรามีที่มาที่ไปต่างกัน “

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันพูดไปแบบนั้น” “อะไรดลใจให้ฉันทำแบบนั้น” “มีอะไรผิดปกติกับฉัน?” เรากำลังค้นหาคำตอบสำหรับคำถามพื้นฐานของมนุษย์เหล่านี้อยู่เสมอ และตอนนี้ วิทยาศาสตร์ก็มีคำตอบแล้ว อาหารที่เราชอบ คนที่เรารัก อารมณ์ที่เรารู้สึก และความเชื่อที่เรายึดถือ ล้วนสามารถสืบย้อนไปถึง DNA เชื้อโรค และสิ่งแวดล้อมของเราได้ หนังสือภาษาพูดที่มีไหวพริบนี้เป็นวิทยาศาสตร์ยอดนิยมที่ดีที่สุด โดยอธิบายในภาษาในชีวิตประจำวันว่าพันธุศาสตร์ epigenetics จุลชีววิทยาและจิตวิทยาทำงานร่วมกันเพื่อมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและการกระทำของเราอย่างไร

คำว่า“เปิดโลก” ยังน้อยเกินไปสำ หรับเล่มนี้ เพราะที่ถูกกว่าคือมัน “เปิดโลกภายในตัวคุณ” และเมื่อโลกใบนั้นเปิดออก ไม่เพียงคุณจะมอง ตัวเองในมุมใหม่ แต่คุณจะมองคนอื่นด้วยสายตาใหม่เช่นกัน สายตาที่จะ มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ เพราะคุณจะรู้ว่าพวกเขาก็ตกอยู่ภายใต้ อำ นาจของพลังเร้นลับที่ไม่ได้เลือกเช่นกัน สุดท้ายแล้วเราเหมือนกันตรงนี้ นี่เอง และเพียงแค่เรามองกันและกันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเช่นนี้- แม้เพียง เล็กน้อย — คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างมหาศาล

Pleased to meet me เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกอันน่าทึ่งที่ส่องให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา และวิธีที่เราจะเป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด

บทนำ MEET THE REAL YOU พบกับตัวเราที่แท้จริง

คนเรามักจะทำอะไรประหลาดสุด ๆ เลยจริงไหม ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตนเองปกติแค่ไหน ก็ต้องมีใครบางคนในโลกนี้ ที่มองว่าคุณเป็นคนแปลกอยู่ดี

แล้วธรรมชาติของพวกเราล่ะ บางคนใจดี บางคนใจร้าย บางคน มีพลังงานมากมายไร้ขีดจำกัด ในขณะที่บางคนขี้เกียจ บางคนไม่กลัว สิ่งใดเลย ในขณะที่บางคนแค่เห็นเงาตัวเองก็ฝ่อแล้ว บางคนเห็นว่าแก้วยังว่างอีกตั้งครึ่งหนึ่ง แต่บางคนมองว่ามันหมดไปแล้วตั้งครึ่งหนึ่ง แถมแก้วยังรั่วอีกด้วย

ระหว่างความสุดโต่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็ยังมีคนจำพวกที่อยู่ตรงกลางๆ เช่นกัน เราทุกคนล้วนมีเลือดเนื้อไม่ต่างกัน แต่ความหลากหลายในการ ใช้ชีวิตของเรานั้นช่างมากมายมหาศาล แต่ถึงกระนั้นผมเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเราเหมือนกันอยู่ นั่นคือ ความปรารถนาที่จะเข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงแตกต่างอย่างมากและโดดเด่นเช่นนั้น

ยิ่งคุณรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณมากขึ้นแค่ไหน คุณก็ยิ่งควบคุมทิศทางการใช้ชีวิตของคุณได้ดีเท่านั้น และถ้าคุณรู้ว่าอะไรทำให้บุคคลหนึ่งกระทำสิ่งหนึ่ง คุณจะยิ่งเข้าใจผู้คนที่ไม่เหมือนคุณได้มากขึ้น

เราทุกคนชอบคิดว่าเราเดินตามจังหวะกลองของเราเอง แต่วิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยว่าจังหวะนั้นเล่นโดยนักเพอร์คัสชั่นที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เราเดินไปตลอดชีวิตโดยเชื่อว่าเราคือมือกลอง — แต่หลักฐานที่น่าตกใจเผยให้เห็นว่านี่เป็นภาพลวงตา ความจริงก็คือมีกองกำลังซ่อนเร้นกำลังเตรียมการทุกย่างก้าวของเราการเคลื่อนไหวของเราแต่ละครั้งและทุกครั้ง

บ่อยครั้งดีเอ็นเอถูกเรียกว่า“พิมพ์เขียวของชีวิต” เพราะข้างในนั้น มีคำสั่งสำหรับการสร้างสิ่งมีชีวิต สำหรับคนส่วนใหญ่ ดีเอ็นเอจะกำหนด โครงสร้างทางชีวภาพให้มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยแบบสมถะ แต่บางคนก็ได้อยู่คฤหาสน์ ในขณะที่บางคนต้องอยู่ในบ้านที่ผุพัง และบ้านบางคนก็ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาจากพิมพ์เขียวของดาวมรณะ(Death Star)

แต่แน่นอนว่าเราเป็นมากกว่ายีน ใช่ไหม? เราจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของเราที่อาจส่งผลต่อการทำงานของยีนของเรา ตลอดจนวิธีที่สภาพแวดล้อมอาจเปลี่ยนแปลง DNA ของเราในลักษณะที่อาจส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปได้ วิธีการที่โลกภายนอกมีส่วนร่วมกับยีนของเราเป็นสาขาวิชาใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ“พันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรม” หรือ epigenetics

เอพีเจเนติกส์ส่งผลมหาศาลต่อพฤติกรรมของเรา และที่น่าสังเกตก็คือ ผลกระทบที่มันมีต่อดีเอ็นเอของเรานั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนเราเกิดด้วยซ้ำ

การค้นพบที่น่าตกใจเกี่ยวกับเอพีเจเนติกส์นำไปสู่การค้นพบพลังซ่อนเร้นที่กำหนดพฤติกรรมของเรา พลังซึ่งเราไม่มีอำนาจควบคุมแม้แต่น้อย

งานวิจัยใหม่ๆเผยให้เห็นว่าจุลินทรีย์เป็นล้านล้านตัวในท้องของเราอาจส่งอิทธิพลต่อความอยากอาหาร อารมณ์ บุคลิกภาพ และอีกมากมาย

จุลินทรีย์เล็ก ๆเหล่านี้หาประโยชน์จากเราด้วยการส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา และทำ ให้เราต้องสงสัยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเรามีอำนาจควบคุมการกระทำของตนเองได้จริงหรือ

เราสามารถควบคุมการกระทำของเราได้มากแค่ไหน (ที่จริงแล้วคือน้อยแค่ไหน) ความรู้นี้จะช่วยให้เราประพฤติตัวดีขึ้นและมีพลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราเองในแบบที่จะทำให้โลกสุขขึ้นและสุขภาพดีขึ้น

เราจะมาทบทวนเหตุผลเชิงชีวภาพที่อยู่เบื้องหลังโรคอ้วน โรคซึมเศร้า และการเสพติด และ ความรู้นี้จะเปิดทางไปสู่การรักษาอาการผิดปกติเหล่านี้ให้ดีขึ้น เราจะได้เรียนรู้เหตุผลแท้จริงที่บางคนก้าวร้าวหรือเป็นฆาตกร

ช่วยให้เห็นความเป็นไปได้ในการป้องกันไม่ให้การกระทำอันร้ายกาจนี้เกิดขึ้น และเราจะศึกษาด้วยว่าวิทยาศาสตร์สอนเราเกี่ยวกับความรักและแรงดึงดูดได้อย่างไร บทเรียนเหล่านี้จะพัฒนาปรับปรุงความสัมพันธ์ของเราได้อย่างไร และในที่สุดเราก็จะพินิจพิจารณาจิตวิทยาว่าด้วยความเชื่อของเราเอง รวมถึงความแตกต่างทางการเมือง ด้วยหวังว่ามันจะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบางครั้งเราจึงทำอะไรตามศรัทธางมงาย แทนที่จะใช้เหตุผลจากความรู้ความเข้าใจ

บทที่ 1 MEET YOUR MAKER พบกับผู้สร้างคุณ

It’s not an easy thing to meet your maker.

— Roy Batty, Blade Runner

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบกับผู้สร้างของคุณ

คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง

ทำไม คนบางคนถึงขาดการควบคุมตนเอง

ทำไม บางคนถึงเป็นโรคซึมเศร้า

คนที่ไม่รู้ก็มักเมินเฉยต่อปัญหาและกล่าวว่า “หัดทำ ตัวเป็นผู้ใหญ่และเลิกนิสัยนั้นได้แล้ว!” ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

เราต้องขุดค้นไปให้ลึกกว่านั้น ถ้าเราหวังจะเข้าใจการกระทำของมนุษย์เราด้วยกันเอง

แม้เราอาจเป็นเครื่องจักรที่ซับซ้อน แต่เราก็ยังเป็นเครื่องจักรอยู่ดี เราเป็นเครื่องจักรประเภทเคมีไฟฟ้า เคมีชีวภาพ

หากเราเข้าใจว่าเครื่องจักรของเราทำงานอย่างไร เราก็จะอยู่ในจุดที่สามารถเข้าใจพฤติกรรมและแก้ไขได้เมื่อจำเป็น

แต่ไม่มีวิธีใช้บอกไว้ การทำความเข้าใจพฤติกรรมของเราจะง่ายขึ้นมากถ้าเรามีคู่มือจากผู้สร้าง

ในการไล่ล่าหาสสารที่บรรจุคำสั่งในการสร้างสิ่งมีชีวิต เฮอร์ชีย์ และเชสศึกษารูปแบบชีวิตที่เล็กที่สุดเท่าที่จะหาได้ คือไวรัสประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า “เฟจ” (phage) ซึ่งแพร่เชื้อใส่แบคทีเรีย ไวรัสเฟจมีส่วนประกอบ เป็นโปรตีนและดีเอ็นเอ

ดีเอ็นเอมีลักษณะเหมือนเกลียวคู่คล้ายบันไดวน แต่ละขั้นบันไดประกอบ ด้วยสารเคมีชีวภาพคู่หนึ่งที่เรียกว่ากรดนิวคลีอิก (ในดีเอ็นเอมีกรดนิวคลีอิก สี่ประเภท เรียกย่อๆว่า A, T, C และ G) โครงสร้างเช่นนี้ทำให้เห็นได้ ชัดเจนว่าดีเอ็นเอบรรจุหน่วยพันธุกรรมที่เรียกว่ายีนได้อย่างไร บันไดวนนี้ สามารถคลายตัวออกเป็นบันไดตรงได้ และกรดนิวคลีอิกทั้งสองที่ประกอบ กันเป็นขั้นบันไดสามารถแยกออกจากกันเหมือนเวลาที่เรารูดซิปลง เมื่อ ซิปดีเอ็นเอถูกรูดลง รหัสจะแสดงออกมาแล้วถูก “ถ่ายสำเนา” ลงบนโมเลกุลพาหะที่เรียกว่าผู้ส่งสารอาร์เอ็นเอ (mRNA) เพื่อใช้สร้างโปรตีน ถ้าหากเรามองว่าดีเอ็นเอเป็นหัวหน้าคนงาน โปรตีนก็ต้องทำหน้าที่เหมือนคนงานก่อสร้าง คอยจัดหาโครงสร้างและหน้าที่ให้กับเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆของเรา

ถ้าเราอ่านลำดับของดีเอ็นเอหนึ่งตัวต่อหนึ่งวินาทีเราต้องใช้ เวลาเกือบหนึ่งร้อยปีกว่าจะเสร็จ แต่จีโนมของเรามียีนทั้งหมด 21,000 ยีน ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในโครโมโซม 46 อัน คือ 23 อันจากแม่ และอีก 23 อันจากพ่อ

ดีเอ็นเอทำงานหนักยาวนานนับอสงไขยในการสร้างสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน และเหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมแบบต่างๆ ชีวิตรอคอยอยู่ในห้อง รับแขกนานถึง 3,500 ล้านปี ก่อนที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะถูกเรียกเข้าไปพบเจ้านายในที่สุด มนุษย์คือสายพันธุ์แรกของดาวเคราะห์ดวงนี้ที่ได้พบกับผู้สร้างของตนเอง

เหตุใดเราจึงไม่อาจเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น

การเรียนรู้ภาษาของดีเอ็นเอทำให้เราต้องเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ความหลากหลายอันอุดมของชีวิตบนโลกไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาลอย ๆ แบบ ทีเดียวเสร็จ มันเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยเซลล์เพียงหนึ่งเซลล์ที่ห่อหุ้มดีเอ็นเอ และวิวัฒนาการจากจุดนั้นเป็นเวลาหลายพันล้านปี

ชีวิตรูปแบบต่างๆเริ่มแข่งขันกันหาแหล่งอาหารและผู้ที่สามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อม ก็จะถ่ายทอดดีเอ็นเอของมันไปสู่รุ่นลูก หมือนเวลานักวิ่งผลัดส่งไม้ต่อ ส่วน ผู้ที่ไม่ประสบความสำ เร็จในการแข่งขันก็จะตายไป หรือไม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แล้วพัฒนาเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่โดยเฉพาะ

นักชีววิทยาผู้โด่งดัง ริชาร์ด ดอว์กินส์ บรรยายว่ายีนเป็นเครื่องทำ สำ เนาที่ “เห็นแก่ตัว” เป็นเหมือนกอร์ดอน เก็คโค่ แห่งโลกชีวภาพ เขาเรียกสิ่งที่ยีนเห็นแก่ตัวสร้างขึ้นว่า “เครื่องจักรเอาชีวิตรอด” เพราะ จุดประสงค์พื้นฐานของมันก็คือปกป้องดีเอ็นเอ และดูแลให้แน่ใจว่ามัน จะถูกส่งต่อไปยังชนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับที่นักเขียนแซมวล บัตเลอร์กล่าวไว้ เมื่อหนึ่งศตวรรษก่อนว่า “ไก่ก็เป็นแค่สิ่งที่ไข่ใช้เพื่อสร้างไข่อีกใบหนึ่ง”

แม้เราจะประดับประดาตนเองให้ดูสวยงามอย่างไร เราเองก็ไม่ต่างจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาจิตวิทยาวิวัฒนาการบอกว่าแรงจูงใจของพฤติกรรมทั้งหมดของเราดูเหมือนจะมาจากแรงขับเคลื่อนที่จะหาคู่ และสร้างยีนของเราขึ้นใหม่ ด้วยมุมมองนี้ ความโง่เขลาของมนุษย์ถูกขับเน้นชัด สิ่งที่ดึงเราไปสู่การเอาเปรียบคนอื่น ความละโมบ และอำนาจ ก็เป็นเพียงแรงจูงใจที่มาจากกลุ่มยีนซึ่งเรายากจะต้านทาน

ความแตกต่างระหว่างบุคคลเกิดจากความแตกต่างของลำดับดีเอ็นเอ แม้หลายคนรู้ว่าดีเอ็นเอสร้างเนื้อหนังและรูปร่างภายนอก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักว่ายีนส่งผลต่อบุคลิกลักษณะที่ซับซ้อนกว่านั้นด้วย เช่น สติ ปัญญา ความสุข หรือความก้าวร้าว

ในบางกรณี พันธุศาสตร์ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราแบบตรงไปตรงมา บางครั้งการเปลี่ยนแปลงในยีนหนึ่งยีน หรือที่เราเรียกว่าการกลายพันธุ์ หรือผันแปร อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาได้ง่ายมาก

ในทางตรงกันข้าม ลักษณะที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่นลักษณะที่ส่งอิทธิพล ต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรม มีสาเหตุจากหลายยีนที่ทำงานร่วมกัน การผันแปรของยีนเดียวที่อยู่ในเครือข่ายนั้นอาจไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่มองเห็นได้เสมอไป นี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องระลึกว่า การผันแปรของยีนส่วนใหญ่บอกเราเกี่ยวกับ แนวโน้ม ไม่ใช่ความแน่นอน

จะได้เห็นว่า ดีเอ็นเอเป็นเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นของสายโซ่ที่ลากจูงเราไปในการดำ เนินชีวิต

การจัดเรียงจีโนมมนุษย์คือก้าวยักษ์ใหญ่ไปสู่ความเข้าใจว่าตัวเราทำงานอย่างไร แต่มันก็เป็นเพียงภาพร่างหยาบ ๆ ของตัวคุณเท่านั้น เราไม่อาจอ่านลำดับดีเอ็นเอของคุณเหมือนอ่านนิยายทั่วไป แต่มันเหมือนหนังสือประเภท ที่ให้เราเลือกเส้นทางผจญภัยด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวบังคับ ทิศทางว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร ดีเอ็นเอของคุณบรรจุความเป็นตัวตนของคุณที่อาจเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ บุคคลที่คุณเห็นในกระจกเป็นเพียง หนึ่งในรูปแบบเหล่านั้นเกิดขึ้นจากสิ่งที่คุณได้พบเจอมาตั้งแต่ปฏิสนธิซึ่งไม่เหมือนกับของใครเลย

สิ่งแวดล้อมคอยบงการว่าความผันแปรในดีเอ็นเอของคุณจะมีผลเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ถ้าผมเกิดเมื่อห้าหมื่นปีก่อน ผมคงอายุไม่ยืนนัก

ฮอร์โมนซึ่งเกิดจากระบบต่อมไร้ท่อของคุณช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แรงขับทางเพศ อารมณ์ การเผาผลาญอาหาร และอื่น ๆ มีสสารหลาย อย่างในสิ่งแวดล้อมทำ หน้าที่เป็นสารรบกวนการทำ งานของต่อมไร้ท่อ ซึ่ง หมายความว่ามันเลียนแบบการทำ งานของฮอร์โมนและรบกวนการแสดงออกของยีน

กระบวนการที่ส่งผลกระทบต่อการแสดงออกของยีน แต่ไม่เปลี่ยนแปลง ลำดับของดีเอ็นเอเรียกว่า“เอพีเจเนติกส์” หรือ“พันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรม” การดัดแปลงเอพีเจเนติกส์(หรือที่เรียกว่าเอพี- มาร์ค) ทำให้สิ่งแวดล้อมสามารถส่งข้อความไปสู่ยีนของคุณ ซึ่งไม่เพียงเปลี่ยนแปลง การทำงานของยีนที่มีผลต่อคุณเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีนที่มีผลต่อลูกหลานของคุณด้วย

พันธุกรรมไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากสิ่งแวดล้อม ที่เก็บสั่งสมมา — ลูเธอร์ เบอร์แบงค์

การศึกษาเอพีเจเนติกส์เน้นให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างยีนของเรากับสิ่งแวดล้อม และเผยให้เห็นว่าเหตุใดยีนของเราจึงไม่ได้กำหนด ชะตากรรมของเราเสมอไป แม้เราไม่มีสิทธิ์เลือกยีนที่เราได้รับมาแต่กำเนิด แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมให้ส่งผลกระทบต่อการแสดงออกของยีนของเราได้ เช่นเดียวกับที่เซียนไพ่โป๊กเกอร์สามารถหลอกคนอื่น จนเอาชนะได้แม้ในมือจะมีแต่ไพ่ห่วย ๆ ก็ตาม

จุลินทรีย์เข้ามาอยู่ในยีนของเราได้อย่างไร

เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์คาดประมาณว่ามียีนมากกว่า 21,000 ยีน ในดีเอ็นเอที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเรา เรามีจุลินทรีย์ แบคทีเรีย ไวรัส และปรสิตจำนวนนับล้านล้านตัวอยู่บนและอยู่ในตัวเรา มันก่อตัวเป็นยีนขึ้นมาอีกนับ “ล้าน” เพิ่มลงไปในระบบนิเวศทางพันธุกรรมของเรา พวกเราอาจรู้สึกอยากจะเป็นลม ทว่าผู้บุกรุกตัวจิ๋วเหล่านี้ส่วนใหญ่มาอย่างสันติ และนำสิ่งดีมามอบให้ เราเรียกพวกมันรวมกันว่า“ไมโครไบโอต้า” (ยีนของ พวกมันเรียกว่าไมโครไบโอม) แบคทีเรียในท้องช่วยให้คุณย่อยอาหาร และสร้างวิตามิน ส่วนแบคทีเรียที่ผลิตซัลเฟอร์บางชนิดก็ช่วยคุณขจัดจุลินทรีย์ตัวอื่น ๆเวลาที่คุณต้องการอยู่ตามลำพัง แบคทีเรียที่“เป็นมิตร” เหล่านี้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดโรคใด ๆ ยังช่วยควบคุมแบคทีเรียเชื้อโรคซึ่ง“ไม่เป็น มิตร”อีกด้วย

ต้องขอบคุณแม่ของเราที่เริ่มต้นการสะสมไมโครไบโอต้าให้กับเรา เราถูกห่อหุ้มด้วยแบคทีเรียเป็นครั้งแรกตอนที่เราไหลออกมาทางช่องคลอด และแม่ยังคงแบ่งปันแบคทีเรียให้เราต่อไปผ่านทางการให้น้ำนมจากเต้า ดังนั้นจึงอาจถือได้ว่าไมโครไบโอต้าเป็นสิ่งที่สืบทอดได้ในระดับหนึ่ง เพราะมีบางสายพันธุ์สามารถส่งต่อจากแม่สู่ลูกได้ เรายังคงรับจุลินทรีย์เพิ่ม อย่างต่อเนื่องในขณะที่ดำเนินชีวิต โดยได้มาจากอาหาร น้ำ อากาศ ลูกบิดประตู และการปฏิสัมพันธ์กับคนและสัตว์ ผู้คนทั่วโลกมีแบคทีเรียในท้องแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอาหาร ภูมิประเทศ มาตรฐานสุขอนามัย ความเจ็บป่วย และอายุ

จุลินทรีย์เหล่านี้ตัวเล็กนิดเดียว แต่ก็เหมือนที่โยดาเคยเตือนไว้ อย่าตัดสินสิ่งต่างๆจากขนาด มีแบคทีเรียประมาณหนึ่งหมื่นสายพันธุ์อาศัยอยู่ในท้องของเรา ทำให้เรามียีนเพิ่มอีกแปดล้านยีน น้ำหนักของพวกมัน รวมกันอาจมากถึงสามปอนด์ ซึ่งหมายความว่าไมโครไบโอต้าของเรามี น้ำหนักมากกว่าสมองของเราเสียอีก ถือเป็นข่าวดีถ้าคุณกำลังพยายาม ลดน้ำหนัก เมื่อคุณขึ้นไปยืนบนตาชั่งคืนนี้ เชิญคุณนำ ความรู้ใหม่เรื่องนี้ ไปใช้ และหักน้ำหนักของแบคทีเรียประมาณ 1.3 กิโลกรัมออกจากน้ำหนักของตัวคุณได้เลย (ด้วยความยินดีครับ!)

และยังมีข้อมูลคุ้นหูเกี่ยวกับแบคทีเรียที่คุณสามารถนำไปสร้างความตื่นตระหนกให้แขกที่มาร่วมงานปาร์ตี้ได้ด้วย เซลล์แบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายของเรามีจำนวนมากกว่าเซลล์ของมนุษย์เสียอีก หมายความว่าพวกเรามีความเป็นแบคทีเรียมากกว่าความเป็นมนุษย์ พอมีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัย อยู่บนและในตัวเราเช่นนี้ ลองคิดดูว่ามันสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้มากเพียงใด

สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วในร่างกายเราดูจะส่งอิทธิพลต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่ความอยากอาหารไปจนถึงการรักษาแผลให้หาย นอกจากมันจะสร้างวิตามินและสารประกอบเชิงโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราแล้ว แบคทีเรียในท้องยังเป็นแหล่งกำ เนิดของสารสื่อประสาท หรือเคมีชีวภาพที่ทำงานกับสมองของเรา นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอว่าการที่มันผลิตสารสื่อประสาทนี้เอง แบคทีเรียของเราจึงอาจช่วยปรับระดับอารมณ์ บุคลิกภาพ และนิสัยใจคอของเราให้ได้สมดุล

ราวๆ หกร้อยล้านปีก่อน ยีนสร้างเซลล์ประสาท (หรือเซลล์สมอง) ใน บรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตที่มีหน้าตาคล้ายแมงกะพรุนหรือหนอนในปัจจุบัน หลายปีต่อมาเซลล์ประสาทเหล่านี้จับตัวกันแล้วก่อเกิดเป็นสมอง ทำให้เครื่องจักรที่มีสมองโชคดีกว่าใคร เพราะมันมอบความได้เปรียบในระดับใหม่ให้ เมื่อเวลาผ่านไป สมองใหญ่ขึ้นทำงานรวดเร็วขึ้น เนื่องจากมันรวบรวมเซลล์ประสาทได้มากขึ้นและเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างเซลล์เหล่านั้นมากขึ้น

นอกจากมนุษย์แล้ว สมองของสัตว์บางชนิดมีพลังมากพอที่จะรับรู้ตนเองได้ (รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่ใช่มนุษย์ ช้าง โลมา ปลาวาฬเพชรฆาต และนกกางเขน)

ดีเอ็นเอ คือพ่อมดที่อยู่หลังม่านแห่งชีวิต

สมองบอกเราถึงความเป็นตัวตน ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนเราคือผู้ตัดสินใจ มันล่อลวงให้เราเชื่อว่าสมองทำ ให้เราเป็นอิสระจากยีนจอมเผด็จการ แต่ข้อจำกัดของแนวคิดที่น่าพอใจนี้คือข้อเท็จจริงที่ว่าอวัยวะการคิดของเรา ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากพิมพ์เขียวพันธุกรรมในดีเอ็นเอของเราเช่นกัน สมองคืออวัยวะของยีน มันมีอยู่ได้เพราะยีน และมันมีไว้สำหรับยีน แต่ดังที่เราเห็นแล้วว่า สมองแต่ละสมองไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่ากัน และสมองที่มา ลงเอยตรงกลางระหว่างหูของเรา เราก็ไม่ได้เลือกมันเสียด้วย

แม้จะมีข้อจำกัดในทางพันธุกรรมในตอนแรกเริ่ม แต่สมองของเรา ก็พัฒนาจนมีความซับซ้อนมากพอที่จะมีชีวิตเป็นของมันเอง และคิดเพื่อตัวมันเองหรือเปล่านะ สมองของเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทอันน่าทึ่ง หนึ่งแสนล้านเซลล์ ยิ่งไปกว่านั้นเซลล์ประสาทหนึ่งเซลล์สามารถส่งสัญญาณต่อไปให้เซลล์ประสาทอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับมันได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง เหมือนกับพวกมันสามารถคุยกันได้โดยใช้สัญญาณเคมีชีวภาพ สมองของมนุษย์จึงมีความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทมากถึง 100 ล้านล้านแห่ง ซึ่งหมายความว่าในหัวเรามีความเชื่อมโยงของเซลล์สมองมากกว่าดวงดาวบนทางช้างเผือกเสียอีก

เช่นเดียวกับในสัตว์อื่น การทำงานทางกายภาพส่วนใหญ่ในร่างกายของเรา เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ การย่อยอาหาร และการหลั่ง เหงื่อ ล้วนแต่เป็นกระบวนการอัตโนมัติ ควบคุมโดยส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในสมองของเรา สิ่งที่อยู่ด้านบนสุดของระบบอัตโนมัตินี้และมีลักษณะขดเป็นวงเหมือนโยเกิร์ตนุ่ม ๆ คือเยื่อหุ้มสมองใหญ่ (cortex) ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ใช้พิจารณาทุกอย่างตั้งแต่ลมฟ้าอากาศ ตลาดหุ้น สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในซีรี่ส์ Stranger Things หรือเราควรรับแฟนเก่าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กหรือไม่

Science is revealing a great deal about who we are and why we do the things we do.

วิทยาศาสตร์เผยให้เห็นมากมายว่าเราเป็นใคร และเหตุใดเราจึงทำสิ่งต่างๆ แบบที่เราทำอยู่ แต่คู่มือของผู้เป็นเจ้าของเรานั้นซับซ้อนกว่าที่เราจินตนาการไว้ แม้เราจะมีภูมิปัญญา อารมณ์ขัน และความรักในศิลปะ แต่เราก็ต้องยอมรับแก่นแท้ของตัวตนที่เราเป็น ซึ่งก็คือเครื่องจักรเพื่อการ อยู่รอดของดีเอ็นเอ เรามีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลซ่อนเร้นมากมายซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา

บทที่ 2 MEET YOUR TASTES พบกับรสนิยมของคุณ

สิ่งสำคัญคือต้องเตือนตัวเองว่าเราเป็นผลผลิตจาก DNA ของเรา ซึ่งเป็นโมเลกุลที่อุทิศตนอย่างมุ่งมั่นเพื่อภารกิจในการคัดลอกตัวเอง ดีเอ็นเอสร้างสิ่งมีชีวิตเช่นเราเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดและเพิ่มโอกาสในการส่งต่อไปยังอีกรุ่นหนึ่ง (ฟังดูเย็นชา แต่เรากำลังทำให้มันเป็นจริงที่นี่)

ในฐานะเครื่องจักรเพื่อการเอาตัวรอด เรามีอุปกรณ์รับรสที่ช่วยให้เราแยกแยะสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราจากสิ่งที่อาจถึงตายได้ เพื่อให้เข้าใจรสนิยมของเรา เราต้องตระหนักว่าพืชเป็นเครื่องจักรในการเอาชีวิตรอดด้วย เนื่องจากพืชไม่สามารถหนีผู้ล่าได้ DNA ของพวกมันจึงพัฒนากลยุทธ์การป้องกันทางเลือก กลวิธีหนึ่งคือทำให้ชิ้นส่วนของพวกมันไม่อร่อยหรือเป็นพิษร้ายแรงเพื่อที่สัตว์จะได้หยุดเคี้ยวอาหารพวกมัน ด้วยการผลิตสารเคมีที่มีรสขม พืชสามารถยับยั้งผู้เกลียดชังบรอกโคลีอย่างฉันจากการปรุงเป็นอาหารกลางวัน

พืชกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้สำหรับการสืบพันธุ์ใช้ประโยชน์จากสัตว์ที่มีฟันหวาน พืชดังกล่าวล้อมรอบเมล็ดของพวกมันด้วยผลไม้รสหวานเพื่อให้สัตว์กินพวกมันและกระจายเมล็ดพืชไปทั่วโดยไม่รู้ตัว พืชมีเล่ห์เหลี่ยมมากเมื่อคุณคิดถึงมัน ถ้าฉันกินสลัดได้ ฉันจะกินมันอย่างโกรธจัด แทงส้อมของฉันเข้าไปด้วยความเอร็ดอร่อย

ยีนอื่นๆ อีกมากมายนอกเหนือจากตัวรับรสสัมผัสมีอิทธิพลต่อรสชาติที่เราพบว่าน่ารับประทานและวิธีที่เราเผาผลาญ (หรือสลาย) อาหารบางชนิด การค้นหาและกำหนดลักษณะยีนเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่าสารอาหาร ในการศึกษาปี 2016 นักพันธุศาสตร์ Paolo Gasparini จากมหาวิทยาลัย Trieste ในอิตาลีได้ค้นพบยีนใหม่ 15 ตัวที่เชื่อมโยงกับความชอบของผู้คนในอาหารต่างๆ ตั้งแต่อาร์ติโช้คไปจนถึงโยเกิร์ต เขาระบุยีนใหม่เหล่านี้โดยรวบรวมลำดับจีโนมของบุคคลมากกว่า 4,500 คนเพื่อค้นหายีนที่เชื่อมโยงกับอาหาร 20 ชนิดที่คนเหล่านี้ชอบ ที่น่าสนใจคือไม่มียีนใดที่สงสัยว่าจะเป็นตัวรับกลิ่นและรส ซึ่งหมายความว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากว่าเหตุใดร่างกายของเราจึงเลือกรับประทานอาหารบางชนิด

ในโลกสมัยใหม่ ตัวรับรสหวานทำให้เรามีปัญหาเรื่องอาหาร ในสมัยก่อน บรรพบุรุษของไพรเมตของเราอาศัยผลสุกเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานแคลอรี่ เนื่องจากผลไม้มีน้ำตาลมากที่สุดเมื่อสุก เราจึงพัฒนาฟันหวานเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเมื่อดึงพลังงานจากอาหาร ดังนั้นความรักในขนมหวานของเราจึงหยั่งรากลึกในมรดกวิวัฒนาการของเราและเป็นนิสัยที่ยากมากที่จะทำลาย อย่างไรก็ตาม คุณอาจสังเกตเห็นว่าบางคนยอมมอบโดนัทอย่างง่ายดาย ในขณะที่คนอื่นๆ จะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

มีการค้นพบยีนที่แปรผันสำหรับฟันหวานและไม่ใช่ทุกคนที่มี พวกกลายพันธุ์เหล่านี้เดินเข้ามาท่ามกลางพวกเรา ปฏิเสธของหวาน และทำให้พวกเราที่เหลือรู้สึกผิด

ทำไมคุณถึงชอบทานอาหารขยะ

คุณยังคงคิดว่าการปฏิเสธอาหารขยะเป็นเรื่องของเจตจำนงอย่างเคร่งครัดหรือไม่? จะเป็นอย่างไรถ้าฉันบอกคุณว่าความชอบในอาหารขยะอาจถูกตั้งโปรแกรมไว้ใน DNA ของคุณก่อนที่คุณจะเกิดด้วยซ้ำ

วิธีสำคัญวิธีหนึ่งที่ DNA สามารถตั้งโปรแกรม epigenetically คือผ่าน methylation การดัดแปลงทางเคมีของ DNA ที่ส่งผลต่อการแสดงออกของยีน ยิ่งยีนมีเมทิลเลตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงออกน้อยลงเท่านั้น

วัฒนธรรมที่มักจะชอบของเผ็ดมักอาศัยอยู่ในสภาพอากาศร้อน ซึ่งอาหารจะเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ในอดีต ผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเหล่านี้ทำอาหารได้นานขึ้นโดยการเพิ่มเครื่องเทศ ซึ่งส่วนมากจะยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อราที่ทำให้เกิดการเน่าเปื่อยและเชื้อรา เนื่องจากอาหารรสเผ็ดทำให้คุณมีเหงื่อออก อาหารเหล่านี้อาจช่วยให้คนที่อยู่ในสภาพอากาศอบอุ่นสามารถรักษาความเย็นได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่บางคนไม่ชอบซอสร้อนก็คือพวกเขาสูญเสียต่อมรับรสบางส่วนไปเพราะความชราภาพ ในวัยเด็ก ปากของเราเต็มไปด้วยต่อมรับรสประมาณ 10,000 ต่อม ซึ่งจะต่ออายุตัวเองทุกสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ แต่เมื่อเราก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่สี่ของชีวิต การงอกใหม่ของต่อมรับรสก็เริ่มช้าลง ต่อมรับรสส่วนบุคคลไม่ได้ลดลงในตัวเอง แต่การลดลงของจำนวนโดยรวมของมันอธิบายได้ว่าทำไมคนจำนวนมากจึงเลือกใช้อาหารที่โดดเด่นกว่าและเผ็ดกว่าเมื่ออายุมากขึ้น ผู้สูงอายุมักใช้ยาที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของรสชาติได้ วัยกลางคนที่มีความสำคัญเท่าเทียมกันคือเมื่อเราเริ่มสูญเสียการดมกลิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในประสบการณ์ด้านรสชาติของเรา (โดยบังเอิญ การสูญเสียกลิ่นในผู้สูงอายุเป็นสาเหตุให้มักใช้น้ำหอมมากเกินไป) โดยรวมแล้ว

ไม่ว่าความชอบของคุณที่มีต่อเรื่องร้อนแรงจะเป็นแบบมาโซคิสม์ วัฒนธรรม หรืออายุ ท้ายที่สุดแล้วข้อจำกัดทางชีววิทยาก็ชนะใจคุณไปในที่สุด

ต้องขอบคุณวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอาหารและเครื่องเทศบางชนิดทำให้เราเหงื่อออกหรือตัวสั่นด้วยการจี้ตัวรับความร้อนในร่างกายของเรา ถึงแม้ว่า มาเผชิญหน้ากัน: วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้อธิบายว่าใครก็ตามที่สามารถกิน Spice Girls ได้

ทำไมคุณถึงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกาแฟ

ผู้คนจำนวนมากทั่วโลกมักไม่ค่อยเห็นผู้คนที่มีงานยุ่งเมื่อไม่มีถ้วยกาแฟอยู่ในมือ กาแฟเป็นมากกว่าเครื่องดื่มสำหรับบางคน มันเหมือนแขนขาอื่น และเช่นเดียวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยีนของเรามีอิทธิพลต่อความชอบในกาแฟของเรา

กาแฟเป็นรูปแบบของพลังงานที่แพร่หลาย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย (และสำหรับคนส่วนใหญ่ก็อร่อย) ในการส่งยาคาเฟอีนเข้าสู่ระบบของเรา คาเฟอีนกระตุ้นเราเพราะมันดูเหมือนสารเคมีอีกชนิดหนึ่งที่เราเรียกว่าอะดีโนซีน ซึ่งเดินทางผ่านร่างกายของเราเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ระดับพลังงานของเรา เมื่อเราตื่นขึ้น อะดีโนซีนจะสะสมในร่างกายของเรา และในที่สุดก็ถึงจุดที่มันจับตัวรับอะดีโนซีนในสมองของเรามากพอแล้วพูดว่า “โอ้ เพียงพอแล้ว เวลาสำหรับการนอนหลับ” คาเฟอีนทำให้กระบวนการนี้ลัดวงจรโดยการนั่งบนเก้าอี้ที่มีไว้สำหรับอะดีโนซีน เมื่อคาเฟอีนสกัดกั้นตัวรับอะดีโนซีนได้เพียงพอ สมองก็จะไม่ได้รับข้อความว่าต้องการการนอนหลับ เมื่อคาเฟอีนหลอกเซลล์ประสาทของเรามากพอ สมองของเราจะถูกหลอกให้คิดว่ามีเหตุฉุกเฉินและตอบสนอง “การต่อสู้หรือหนี” โดยการปล่อยฮอร์โมนเช่นอะดรีนาลีน

บางคนภาคภูมิใจกับการเสพติดกาแฟ ในขณะที่บางคนพบว่าพวกเขาไม่สามารถดื่มอะไรได้มาก การตั้งค่าเหล่านี้อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจ ค่อนข้าง DNA ของคุณมีอิทธิพลต่อพวกเขา เราได้กล่าวถึงยีนประเภทหนึ่งที่สามารถส่งผลต่อการบริโภคกาแฟได้แล้ว: TAS2R38 นักชิมระดับสุดยอดที่ไม่สามารถทนต่อรสขมอาจไม่สามารถทนต่อกาแฟที่เข้มข้นกว่า หรืออาจต้องชดเชยความขมขื่นนั้นด้วยน้ำตาลและครีมในปริมาณมาก แต่ต้องใช้มากกว่าการกลายพันธุ์ของ TAS2R38 อย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้บางคนเลิกคาเฟอีน

ความชอบของกาแฟมีมากกว่ารสชาติ เนื่องจากคาเฟอีนส่งผลต่อผู้คนต่างกัน ยีนที่เรียกว่า CYP1A2 อาจอธิบายได้ว่าทำไมบางคนถึงดื่มกาแฟเหมือนน้ำเปล่าที่ไม่มีผลร้าย ในขณะที่คนอื่นๆ รู้สึกกระวนกระวายใจหลังจากดื่มเพียงแก้วเดียว CYP1A2 เข้ารหัสเอนไซม์ที่เรียกว่า “ไซโตโครม” ในตับของเราซึ่งทำงานเพื่อเผาผลาญคาเฟอีน และอื่นๆ

เคยสังเกตไหมว่าผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ดื่มกาแฟมากเกินไปหรือไม่? นั่นเป็นเพราะนิโคตินในบุหรี่กระตุ้นยีน CYP1A2 ซึ่งจะทำให้คาเฟอีนของกาแฟถูกเผาผลาญในอัตราที่เร็วขึ้น ดังนั้นผู้สูบบุหรี่จึงมักจะได้รับคาเฟอีนเพิ่มขึ้นในระยะเวลาอันสั้น กระตุ้นให้พวกเขาดื่มอีกถ้วยเร็วกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

ความสามารถของเราในการประมวลผลคาเฟอีน รวมถึงยาและอาหารประเภทอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสมรรถภาพทางจิตใจและการเล่นกีฬา

คำอธิบายที่เป็นไปได้อีกประการหนึ่งเบื้องหลังความชอบที่หลากหลายของเราสำหรับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอาจเกี่ยวข้องกับแบคทีเรียประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในลำไส้ของเรา หลักฐานที่แสดงว่าจุลินทรีย์ในลำไส้สามารถมีอิทธิพลต่อการเผาผลาญคาเฟอีนมาจากด้วงที่เรียกว่าคอฟฟี่เบอร์รี่บอเรอร์ สัตว์ที่น่ารำคาญตัวนี้เป็นอันตรายต่อทุกคนที่ปลูกกาแฟเพื่อหาเลี้ยงชีพเนื่องจากกินเมล็ดกาแฟเป็นอาหารเช้า และสำหรับมื้อกลางวัน และสำหรับอาหารค่ำ หนอนเจาะเมล็ดกาแฟเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่รู้จักว่าไม่กินอะไรเลยนอกจากกาแฟ — บริโภคเทียบเท่าผู้ใหญ่ที่ดื่มกาแฟไป 230 ถ้วยเล็กๆ ทุกวัน การอยู่รอดของคาเฟอีนในปริมาณที่ร้ายแรงที่กินเข้าไปนั้นเป็นปริศนาได้อย่างไร

สมองของเราเป็นอวัยวะที่มีอคติซึ่งเต็มไปด้วยอคติ บางครั้งก็ละเลยแม้แต่หลักฐานที่ขัดกับสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริง ทำไมขี้เกียจจัง สมองของเราใช้ทางลัดทางจิตใจเหล่านี้เพราะต้องการพลังงานมาก — มากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของอุปทานของร่างกายเรา — และใช้ทางลัดในสมองเพื่อประหยัดพลังงานนี้

อยู่กับรสนิยมของคุณ

อะไรเป็นส่วนตัวและกำหนดตัวเองมากกว่าความชอบและไม่ชอบของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงอาหารและเครื่องดื่ม เป็นเรื่องที่น่าไม่สบายใจที่จะคิดว่าความต้องการอาหารของเราสามารถขัดขวางได้โดยผู้ตรวจดีเอ็นเอที่ประตูตู้เย็น แต่ความรู้นี้เป็นพลัง

การเข้าใจถึงความแตกต่างในด้านรสชาติของเราน่าจะช่วยส่งเสริมเวลาทานอาหารที่สงบสุขมากขึ้น ครั้งต่อไปที่มีคนไม่ชอบการทำอาหารของคุณหรือไวน์ที่คุณแนะนำ ลองลดหย่อนตัวเองและจำไว้ว่า: มีคำอธิบายทางชีววิทยาที่อยู่เบื้องหลังรสชาติที่แปลกประหลาดของเรา ปล่อยมันไปและพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือดีๆ แทน

บทที่ 3 MEET YOUR APPETITE พบกับความอยากอาหารของคุณ

I can’t stop eating. I eat because I’m unhappy, and I’m unhappy because I eat. It’s a vicious cycle.

— Fat Bastard, Austin Powers: The Spy Who Shagged Me

วิถีชีวิตสมัยใหม่ของเราอธิบายถึงการระบาดของโรคอ้วนได้มาก: เรากินมากขึ้นและเคลื่อนไหวน้อยลงมาก ไม่ใช่แค่เรากินเหมือนอาหารหมดสไตล์ แต่สิ่งที่เรากินเข้าไปนั้นไม่ดีต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เราทุกคนรู้เรื่องนี้ เราได้รับแจ้งเกี่ยวกับปิรามิดอาหารและความสำคัญของการออกกำลังกายตั้งแต่ดอดจ์บอลพุ่งเข้ามาในหัวของเราในโรงเรียนประถม อย่างไรก็ตาม เรากำลังดูสุภาษิตโบราณที่ว่า “คุณคือสิ่งที่คุณกิน” ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา พวกเราส่วนใหญ่ดูเหมือนซินนาบอนมากกว่าก้านขึ้นฉ่าย เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีเหตุผลเมื่อพูดถึงความอยากอาหารและการเลือกอาหารของเรา นี่เป็นเพียงปัญหาของจิตตานุภาพหรืออาจมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่?

DNA ของเราสร้างสมองที่สัมผัสได้ถึงความสุขและความเจ็บปวด เพื่อทำให้เครื่องจักรเอาชีวิตรอดสามารถแข่งขันได้ เครื่องเอาชีวิตรอดที่ไม่กินจะพบกับความหิวโหยในไม่ช้า หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ความเจ็บปวดเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกพึงพอใจ อาหารที่มีแคลอรีสูงอย่างชีสเค้กทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจที่ใกล้ถึงจุดสุดยอด สมองของเราได้รับรางวัลเมื่อมีบางสิ่งที่หวานกระทบริมฝีปากของเรา ไม่ว่าสิ่งที่หวานจะเป็น Hershey’s Kiss หรือ French kiss ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน — การหลั่งของโดปามีน สารสื่อประสาทที่คั้นส่วนรางวัลในสมองและต้องการการแสดงซ้ำ

สิ่งที่เรากินมีรสชาติดีหรือไม่ดีเพราะมันเป็นวิธีดั้งเดิมของร่างกายของเราในการติดตามสิ่งที่อาจมีประโยชน์ที่จะใส่ในกระเพาะอาหารของเรา ดีเอ็นเอของเราทำให้อาหารที่มีแคลอรีสูงมีรสชาติที่ดีจนเรามักจะเสี่ยงชีวิตและแขนขาเพื่อให้ได้มา

เรามักจะประเมินน้ำตาลที่เราบริโภคเข้าไปต่ำเกินไปเพราะเป็นส่วนผสมที่ “ซ่อนเร้น” ในอาหารหลายชนิดที่ปกติแล้วเราไม่ถือว่าเป็นของหวาน ซึ่งรวมถึงซอสพาสต้าและพิซซ่า ซอสบาร์บีคิว น้ำสลัด เครื่องดื่มน้ำผลไม้ และแม้แต่ซีเรียลที่ “ดีต่อสุขภาพ” โยเกิร์ตและกราโนล่าบาร์ อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงอย่างน่ารังเกียจไม่มีอยู่ในธรรมชาติ และร่างกายของเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับพวกมัน

นอกจากยีนที่ควบคุมลักษณะของฮอร์โมนในพฤติกรรมการกินอาหารแล้ว ยังมียีนที่ควบคุมความอิ่มเอมที่เรารู้สึกหลังจากรับประทานอาหารดีๆ

แม้ว่า DNA จะสร้างสมองให้คุณซึ่งสามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสม แต่สิ่งอื่นๆ อาจผิดพลาดได้ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมที่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกตัวอย่างมากมายของผู้ป่วยที่เพิ่มหรือลดน้ำหนักเนื่องจากเนื้องอกในสมองหรือการถูกกระทบกระแทก นอกจากนี้ บางคนที่มีการปลูกถ่ายสมองซึ่งส่งคลื่นไฟฟ้าเพื่อควบคุมความผิดปกติของการเคลื่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจ (เช่น โรคพาร์กินสัน) เริ่มกินมากเกินไปอย่างกะทันหัน ในทำนองเดียวกัน เมื่อสมองบางส่วนถูกกระตุ้น หนูจะเริ่มกินอาหารอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที การศึกษาเหล่านี้เน้นย้ำบทบาทสำคัญของสมองในนิสัยการกินของเรา

แบคทีเรียในลำไส้ของคุณอาจส่งผลต่อความอยากอาหารของคุณได้อย่างไร

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ของเราอาจส่งผลต่อความอยากอาหารของเราและทำให้ตาชั่งของเราลดลง เป็นมากกว่าแค่ “ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า”

วิธีที่คุณอาจเปลี่ยนความอยากของคุณ

แบคทีเรียประเภทต่างๆ ตั้งหลักในลำไส้ของคุณสัมพันธ์กับความอยากอาหารของคุณอย่างไร ดูเหมือนว่าแบคทีเรียที่อยู่ด้านล่างจะส่งสัญญาณทางเคมีไปยังสมองของคุณซึ่งส่งผลต่อความอยากอาหารประเภทที่พวกเขาต้องการเพื่อขยายพันธุ์และเอาชนะแบคทีเรียประเภทอื่นที่ต้องการย้ายไปยังสนามหญ้า มีวงจรชีวิตของจุลินทรีย์ในท้องของคุณ: สิ่งที่คุณกินส่งผลต่อจุลินทรีย์ของคุณและสิ่งที่พวกเขากินอาจส่งผลต่อสิ่งที่คุณกิน

เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แบคทีเรียที่รุมล้อมอยู่ในลำไส้ของเรากำลังแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงพื้นที่และสารอาหาร โชคดีสำหรับเรา วิวัฒนาการนับล้านปีได้หล่อหลอมความสัมพันธ์ทางชีวภาพระหว่าง DNA ของเรากับ DNA ของพวกเขา ทำให้เกิดการ “เกาหลังของฉัน แล้วฉันจะขูดขีดของคุณ” ของการดำรงอยู่ เราจัดหาที่อยู่อาศัยและอาหารกลางวันฟรีให้กับพวกเขา และพวกเขาจะผลิตวิตามินบางอย่างให้เราและช่วยรักษาแบคทีเรียและเชื้อราที่น่ารังเกียจ แต่แบคทีเรียทั้งหมดต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงสามารถพัฒนาวิธีการหลอกล่อให้สมองของเราส่งอาหารที่ช่วยให้พวกมันเจริญงอกงามไปให้พวกเขาได้

แบคทีเรียบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีในน้ำตาล บางชนิดยังเจริญเติบโตได้ดีในไขมัน แบคทีเรียเหล่านี้อาจทำให้คุณอยากกินอาหารขยะ อย่างไรก็ตาม บางทีคุณสามารถทำลายมนต์สะกดได้โดยการต่อต้านพวกขยะแขยงในลำไส้ของคุณและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและไม่แปรรูป หากเป็นเช่นนั้น ในไม่ช้า คุณจะมีแบคทีเรียในลำไส้มากขึ้น ทำให้คุณหิวสำหรับสลัดแครนเบอร์รี่วอลนัทแทนเบคอนชีสเบอร์เกอร์และมันฝรั่งทอด

เมื่อรู้ว่าแบคทีเรียสลายเส้นใยและอาหารอื่นๆ ให้เป็นสารเคมีที่อาจส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอกลวิธีที่เป็นไปได้สองประการที่จุลินทรีย์สามารถใช้เพื่อควบคุมความอยากอาหารของเราได้ หนึ่ง แบคทีเรียสามารถผลิตสารเคมีที่เข้าสู่สมองของเรา และเริ่มความอยากอาหารที่แบคทีเรียจำเป็นต้องเติบโต สอง แบคทีเรียสามารถผลิตสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนอึได้จนกว่าเราจะกินอาหารที่แบคทีเรียต้องการ ดังนั้นไม่เพียงแต่แบคทีเรียที่ครอบงำจิตใจของเราเท่านั้นที่กระตุ้นความอยากอาหารของเรา แต่พวกเขายังอาจทำให้อารมณ์แปรปรวนของเราได้อีกด้วย

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณนั่งลงที่โต๊ะ จำไว้ว่าคุณไม่ได้ทานอาหารเพื่อคนเดียว คุณกำลังกินสัตว์เล็ก ๆ นับล้านตัวเต็มท้องไส้ของคุณ คุณอาจพบว่าตัวเองกำลังกินเมื่อคุณไม่หิวด้วยซ้ำเพราะแบคทีเรียเหล่านี้มักจะขออาหาร และในโลกสมัยใหม่ที่มีอาหารเหลือเฟือ การให้แบคทีเรียตามต้องการนั้นง่ายเกินไป และไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการเสมอไป

ทำไมคุณถึงไม่อยากออกกำลังกาย

แม้ว่าการออกกำลังกายจะเป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุดสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ข้อแก้ตัวของเราที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เหงื่อออกก็สามารถเติมหนังสือเล่มที่ใหญ่กว่าผลงานของ Sue Grafton ได้ แม้ว่าข้อแก้ตัวของเราจะมีตั้งแต่เรื่องไร้สาระ (วันนี้ฉันถือกล่องโดนัทหนักๆ ขึ้นบันไดที่ทำงานไปแล้ว) ไปจนถึงเรื่องถูกกฎหมาย (สุนัขกัดนิ้วหัวแม่เท้าของฉันระหว่างวิ่งเมื่อวานนี้) มีการถกเถียงกันเล็กน้อยว่าเราได้เพียงเศษเสี้ยวของ การออกกำลังกายที่ร่างกายของเราต้องการ

ความสำคัญของยีนในสมการการลดน้ำหนัก เนื่องจากบางคนเกิดมาเพื่อประหยัดการเผาผลาญมากขึ้น ยีนหลายร้อยหรือหลายพันยีนส่งผลต่อความอยากอาหาร ระบบเผาผลาญ และความสามารถในการออกกำลังกายของเรา เราต้องยอมรับว่ายีนใน DNA และไมโครไบโอมของเรามีบทบาทสำคัญในนิสัยการกินและการเพิ่มน้ำหนัก และยอมรับว่าบางสิ่งเกี่ยวกับรูปร่างของเรานั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการควบคุมอาหารและการใช้ชีวิตแบบเดียวกันจะได้รับน้ำหนักที่แตกต่างกันอย่างมากเนื่องจากองค์ประกอบทางพันธุกรรมของเรา

ปัจจัยทางชีววิทยามากมาย — ปัจจัยที่ไม่อยู่ในการควบคุมของเราเสมอไป — ทำให้บางคนควบคุมความอยากอาหารได้ยากเป็นพิเศษ ถ้าจิตตานุภาพได้ผลสำหรับคุณ ยินดีด้วย แต่จงรู้ว่าการมีวินัยในตนเองนั้นได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมด้วยเช่นกัน วิทยาศาสตร์จะแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ในที่สุด แต่จนถึงตอนนี้ การสนับสนุนและให้กำลังใจด้วยความเห็นอกเห็นใจเป็นวิธีที่ดีกว่ามากในการช่วยให้ตนเองและผู้อื่นบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพที่เป็นจริง

บทที่ 4 MEET YOUR ADDICTIONS พบกับการเสพติดของคุณ

There’s really no plausible medical reason why I should still be alive.

Maybe my DNA could say why.

— Ozzy Osbourne

ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ที่สมเหตุสมผลเลยว่าทำไมฉันควรจะยังมีชีวิตอยู่ บางที DNA ของฉันก็บอกได้ว่าทำไม

การค้นหาปัญหาทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดการใช้สารเสพติดจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและมีเหตุผลมากขึ้นในการต่อสู้กับโรคนี้ มากกว่าการตำหนิและทำให้เหยื่ออับอาย

ทำไมบางคนถึงบอกว่าไม่

ยีนที่ควบคุมวิธีที่ร่างกายจัดการกับแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดอื่น ๆ ยังมีอิทธิพลต่อว่ามีคนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้เสพสารเสพติดหรือไม่

แอลกอฮอล์ทำให้เกิดการหลั่งโดปามีนในสมอง จำได้ว่าโดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการให้รางวัล มันทำให้คุณรู้สึกดีและกระตุ้นให้คุณทำซ้ำพฤติกรรมดังกล่าว เมื่อยากระตุ้นโดปามีน ผู้ใช้จะกระโดดขึ้นไปบนรถไฟชีวเคมีที่ร่าเริงอีกครั้ง และอีกครั้ง. และอีกครั้ง.

แอลกอฮอล์และยาอื่น ๆ เป็นสารเคมีจากต่างประเทศที่ร่างกายแปรรูป หากร่างกายเห็นแอลกอฮอล์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แอลกอฮอล์จะทำปฏิกิริยาโดยให้ตับทำงานล่วงเวลาเพื่อเพิ่มจำนวนเอ็นไซม์เพื่อกำจัดออกไป ความพยายามของร่างกายในการกลับสู่สภาวะปกติคือสาเหตุที่ผู้ดื่มสร้างความอดทนต่อแอลกอฮอล์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องกินเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจะได้รับความรู้สึกพึงพอใจแบบเดียวกัน สำหรับนักดื่มมือใหม่ หนึ่งช็อตอาจสร้างเสียงฮือฮาได้ แต่หลังจากดื่มไปสองสามสัปดาห์ จะใช้เวลาสองหรือสามช็อตกว่าจะถึงจุดนั้น เพราะตับของพวกมันกำลังแปรรูปแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังจากดื่มสุราเป็นเวลานาน ผู้คนจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้รู้สึกปกติ เพื่อชดเชยผลกดประสาทของแอลกอฮอล์ เคมีในสมองของเราจะปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างสารสื่อประสาทที่กระตุ้นเซลล์ประสาทให้กลับมากระตุ้นอีกครั้ง หากการดื่มแอลกอฮอล์หยุดลงกะทันหัน สมองจะไม่ถูกทำให้สงบอีกต่อไป แต่สารสื่อประสาทที่กระตุ้นเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 11 นี่คือเหตุผลที่คนที่ถอนตัวจะมีอาการสั่น วิตกกังวล และกระสับกระส่าย

ความสามารถของผู้คนในการรู้ขีดจำกัดของตนเองเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะบุคลิกที่เข้มแข็งหรือมีวินัยในตนเองที่เหนือกว่า แต่พวกเขาโชคดีที่เกิดมาพร้อมกับระบบสื่อสารตับและสมองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การเข้าใจชีววิทยาของการเสพติดจะนำไปสู่การบำบัดแบบใหม่เพื่อต่อสู้กับโรคพิษสุราเรื้อรัง

อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนและคนที่ติดยาเสพติดเถียงกัน การตกเป็นทาสของยาไม่ใช่วิถีชีวิตปกติที่คนทั่วไปจะสมัคร ไม่ใช่ว่าคนที่ติดยาเสพติดไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่สมองของพวกเขาได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกับตับอ่อนที่ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อีกต่อไป สมองที่เสพติดไม่สามารถสร้างสารเคมีที่ควบคุมการควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เราไม่ได้ข่มเหงผู้ป่วยโรคเบาหวานเพราะฮอร์โมนบกพร่อง ดังนั้นจึงยุติธรรมไหมที่จะข่มเหงผู้ที่ติดยาเพื่อตนเอง

ขณะนี้กลไก Epigenetic อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อตั้งโปรแกรมสมองของผู้ที่ติดยาเสพติด การใช้ยาในทางที่ผิดสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอีพีเจเนติกส์ที่เสถียรต่อ DNA ซึ่งสามารถกลับมาหลอกหลอนผู้ใช้ได้แม้หลังจากผ่านไปหลายปีของการมีสติสัมปชัญญะ โปรดจำไว้ว่าโปรตีนฮิสโตนมีปฏิสัมพันธ์กับ DNA และสามารถดัดแปลงทางเคมีได้

ถ้ายาทำให้เรารู้สึกดี บางทีคำถามอาจไม่ใช่ว่า “ทำไมคุณถึงติดยา” แต่ “ทำไมคุณไม่เสพยา”

บางคนมีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาติดยาเสพติด บางคนมีปฏิกิริยาไม่ดีต่อยา รู้สึกมีผลเพียงเล็กน้อย หรือมียีนที่ช่วยวัดขีดจำกัดของตนเอง แต่นอกเหนือจากยีนของเราแล้ว สิ่งแวดล้อมยังมีบทบาทสำคัญในการที่บุคคลจะสะอาดและมีสติสัมปชัญญะหลังจากพยายามเสพยา

ความโน้มเอียงในการเสพติดอาจถูกตั้งโปรแกรมไว้ในเด็กก่อนที่พวกเขาจะเกิดด้วยซ้ำ โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมของมารดา ฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอลที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต มีแนวโน้มที่จะสะสมในคนที่อาศัยอยู่ในสภาวะที่ทำให้เครียด การได้รับคอร์ติซอลในระดับสูงขณะอยู่ในครรภ์อาจทำให้ระบบควบคุมความเครียดของทารกไม่พอใจ ซึ่งอาจปรากฏว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเสพติดในภายหลัง แนวคิดนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วในหนู ลูกหนูที่ได้รับความเครียดก่อนคลอดในครรภ์มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมแสวงหายาและการเสพติดเมื่อโตขึ้น

แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเสพติด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด การศึกษาที่อ้างถึงก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะแนะนำว่าหากเราสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นสำหรับทุกคน ปัญหายาเสพติดทั้งหมดของเราจะหมดไป และถึงแม้จะไม่มีคำถามว่าสภาพแวดล้อมที่ชาญฉลาดกว่าและมีมนุษยธรรมมากขึ้นด้านวิศวกรรมจะช่วยให้คนจำนวนมากมีสติสัมปชัญญะ แต่ก็ไร้เดียงสาที่จะคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะรักษาได้สำหรับทุกคน มีข้อยกเว้นสำหรับกฎทั่วไปเสมอ คนยากจนจำนวนมากหลีกเลี่ยงอันตรายจากยาเสพติด และผู้เสพสารเสพติดจำนวนมากมีชีวิตอยู่อย่างสง่างาม ดังที่เราได้เรียนรู้ ผู้คนแสดงลักษณะทางชีววิทยาที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มที่จะเสพติดสารบางชนิด ตอนนี้เราจะตรวจสอบลักษณะบุคลิกภาพที่ทำให้การต่อต้านสิ่งล่อใจยากขึ้นสำหรับบางคน

ผู้คนมีความพึงพอใจในระดับที่แตกต่างกันในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเดียวกัน เนื่องจากความแปรปรวนทางพันธุกรรมในระบบโดปามีน ผู้ที่ไม่รู้สึกถึงความสุขในระดับปกติอาจมีแนวโน้มที่จะเสี่ยงมากขึ้นเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่านี้

เป็นสิ่งสำคัญที่เราเข้าใจดีว่าการเสพติดเป็นโรคทางสมองเรื้อรังที่รักษาไม่หายซึ่งต้องได้รับการจัดการตลอดชีวิต การกล่าวโทษ ความอับอาย และการลงโทษผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ได้ผล และดูเหมือนว่าสังคมจะเลิกเสพติดแนวทางที่ล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพนี้ได้

บทที่ 5 MEET YOUR MOODS พบกับอารมณ์ของคุณ

If you were happy every day of your life, you wouldn’t be a human. You’d be a game show host.

— Veronica Sawyer, Heathers

ถ้าคุณมีความสุขทุกวันในชีวิต คุณจะไม่ใช่มนุษย์ คุณจะเป็นพิธีกรรายการเกมโชว์แน่ๆ

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าเราเกิดมาพร้อมกับอารมณ์พื้นฐาน เช่นเดียวกับตัวควบคุมอุณหภูมิ ที่กำหนดโดยพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมในยุคแรกๆ

ความรู้สึกของคุณมาจากไหน

อารมณ์เป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก แต่เรารู้จักมันเมื่อเรารู้สึกถึงมัน เช่น ความรัก ความเกลียดชัง ความโกรธ ความปิติ ความอิจฉา การเอาใจใส่ เป็นต้น บรรพบุรุษของเราเคยคิดว่าวิญญาณที่เล็ดลอดออกมาจากอวัยวะต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกเหล่านี้ภายในตัวเรา คิดว่าความรักมาจากใจ และความโกรธจากน้ำดีสีดำยั่วยวนในม้าม แต่ในไม่ช้าเราก็รู้ว่าหัวใจที่เสียหายไม่หยุดรัก และคนที่ตัดม้ามออกก็ยังโกรธได้

เมื่อเวลาผ่านไป เราได้เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางอารมณ์เกิดขึ้นได้หากสมองได้รับบาดเจ็บหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี ไม่ว่าพวกมันจะรู้สึกมหัศจรรย์แค่ไหน แต่อารมณ์ของคุณมีต้นกำเนิดมาจากสารเคมีในสมองที่เรียกว่าสารสื่อประสาทซึ่งกระตุ้นบริเวณสมองจำเพาะ (โปรดทราบว่าฮอร์โมนบางชนิดยังทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทด้วย) นอกจากนี้ยังสามารถรู้สึกได้ถึงอารมณ์เมื่อโพรบไฟฟ้าสัมผัสส่วนหนึ่งของสมอง ซึ่งจำลองกิจกรรมของสารสื่อประสาท ด้วยเหตุนี้ สภาวะทางอารมณ์ส่วนใหญ่ของเราจึงถูกควบคุมที่ระดับพันธุกรรม เนื่องจากยีนนั้นเข้ารหัสเอ็นไซม์ที่ผลิตสารสื่อประสาทเหล่านี้ ตัวรับที่พวกมันจับ และเอ็นไซม์ที่ทำลายพวกมัน

ฮอร์โมนและสารสื่อประสาทหลายชนิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างอารมณ์ ดังนั้นเราจะยกตัวอย่างเพียงไม่กี่ตัวอย่างเพื่อผลักดันให้สัญญาณทางชีวเคมีควบคุมความรู้สึกของเรา เราได้พบกับสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ร่างกายเห็นว่ามีความสำคัญต่อการอยู่รอดหรือการสืบพันธุ์ เช่น การจับปลาหรือการมีเพศสัมพันธ์

เซโรโทนิน (หรือที่เรียกว่า 5-hydroxytryptamine หรือ 5-HT) สารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่สร้างจากทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำให้คุณนอนหลับอย่างผิดพลาดหลังจากกินไก่งวงมากเกินไป คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ serotonin เนื่องจากมียากล่อมประสาททั่วไป เช่น Prozac (fluoxetine) ซึ่งคิดว่าช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงโดยการรักษาระดับ serotonin ในสมองให้สูงขึ้น

แม้ว่าเซโรโทนินเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดสำหรับบทบาทในการควบคุมอารมณ์และมีอยู่ในสมอง แต่ส่วนใหญ่จะพบในลำไส้ของเรา ซึ่งมันส่งเสริมการบีบตัวของลำไส้ (กระบวนการเคลื่อนย้ายสิ่งของจากกระเพาะไปยังห้องน้ำ) โดยทั่วไปแล้วเซโรโทนินจะสัมพันธ์กับความรู้สึกมีความสุขและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับหน้าที่อื่นๆ ของเซโรโทนินทั่วร่างกาย ตัวอย่างเช่น บุคคลจำนวนมากที่มีภาวะซึมเศร้าประสบปัญหาทางเดินอาหาร และในทางกลับกัน การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าจุลินทรีย์ของเรามีความสำคัญต่อการผลิตเซโรโทนิน ซึ่งน่าจะอธิบายได้ว่าทำไมจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความรู้สึกของลำไส้ นอกจากนี้ เซโรโทนินยังเป็นสารตั้งต้นของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ของเรา

ฮอร์โมนความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญในการตอบสนองต่อการต่อสู้หรือหนี ความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับบทนี้คือคอร์ติซอล ซึ่งผลิตโดยต่อมหมวกไตที่อยู่ด้านบนของไตของคุณเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่รับรู้ เช่น การมองแวบหนึ่งว่าเพนนีไวส์ตัวตลกที่น่าสะพรึงกลัวของสตีเฟน คิงจากหางตาของคุณ .

นั่นคือสิ่งที่ตัวรับกลูโคคอร์ติคอยด์เข้ามามีบทบาท ตัวรับกลูโคคอร์ติคอยด์ ซึ่งแสดงออกในสมองและในเซลล์ภูมิคุ้มกัน ดูดซับคอร์ติซอล หากปราศจากความสามารถในการกำจัดคอร์ติซอล ก็จะเกิดการตอบสนองต่อความเครียดเรื้อรังซึ่งอาจทำให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวและหวาดระแวง นอกจากนี้ ระบบภูมิคุ้มกันยังคงหดหู่ อธิบายว่าทำไมคนที่เครียดตลอดเวลาจึงป่วยบ่อยขึ้น

สุดท้าย ฮอร์โมนเพศ เช่น เทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจน เป็นตัวกลางที่รู้จักกันดีในอารมณ์ของเรา ระดับของฮอร์โมนเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงและลดลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ของเราในรูปแบบที่ละเอียดอ่อนและน่าทึ่ง การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เหนื่อยล้า และความจำเสื่อม ในขณะที่ฮอร์โมนที่มากเกินไปจะทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลและหงุดหงิดได้

อารมณ์เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่จิตใจของเราใช้เพื่อสร้างเครื่องโทรสารของโลก และข้อมูลที่พวกเขาใช้ร่วมกันนั้นไม่มีข้อผิดพลาด (จำไว้ว่าบางครั้งเพนนีไวส์ก็เป็นแค่โรนัลด์ แมคโดนัลด์) การยอมรับว่าอารมณ์เป็นสัญญาณทางชีวเคมีที่อาจถูกหรือผิดควรกระตุ้นให้เรามองดูแรงกระตุ้นเหล่านี้ผ่านเลนส์ของเหตุผล แทนที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณที่ไร้ความคิดล้วนๆ และแม้ว่าอารมณ์จะเป็นเสียงที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยของจิตใจ แต่เราไม่ควรปล่อยให้คนใดคนหนึ่งกลายเป็นเผด็จการ

happiness is like bacon: Too much can be unhealthy. Adversity is an inevitable part of life, and denying the unpleasant emotions that accompany difficulties deprives us of the physiological tools we need to get through a challenge.

ความสุขก็เหมือนเบคอน มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ ความทุกข์ยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการปฏิเสธอารมณ์อันไม่พึงประสงค์ที่มาพร้อมกับความยากลำบากทำให้เราขาดเครื่องมือทางสรีรวิทยาที่เราต้องการเพื่อผ่านพ้นความท้าทาย

The future is a great source of anxiety that hinders happiness.

อนาคตเป็นแหล่งของความวิตกกังวลที่ขัดขวางความสุข

“become emancipated from the empire of worry” เป็นอิสระจากอาณาจักรแห่งความกังวล — The Conquest of Happiness-Bertrand Russell

ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้เกิดจากการบรรลุเป้าหมายที่แคบและยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่ด้วยความท้าทายในการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นสำหรับผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ — Peter Singer

วิวัฒนาการอาจเริ่มต้นด้วยยีนที่เห็นแก่ตัว แต่เราได้พัฒนาความสามารถที่โดดเด่นสำหรับการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น แนวโน้มที่จะร่วมมือโดยธรรมชาติของเราเกิดขึ้นจากการคัดเลือกเครือญาติ แรงผลักดันจากสัญชาตญาณที่จะสนับสนุนผู้ที่มียีนที่คล้ายคลึงกันกับเรา

ความเย่อหยิ่งและความกลัวยังขัดขวางไม่ให้คุณเรียนรู้บทเรียนที่ง่ายและสำคัญที่สุดของทั้งหมด…ไม่ใช่ เกี่ยวกับคุณ — Dr. Strange

คนที่มีความสุขที่สุดคือคนที่ให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่าตัวเอง

การศึกษาภาพสมองได้เปิดเผยว่าการกระทำของการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นทำให้ศูนย์รางวัลเดียวกันในสมองกระตุ้นการรับประทานอาหารและเพศ การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายและความหมาย มันให้ความพึงพอใจในทันทีและความพึงพอใจที่ใกล้เคียงความสุข นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณมองเห็นมุมมองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นของโลกและผู้คนที่หลากหลายที่แบ่งปันกับคุณ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เข้าสู่ความคิดนี้เมื่อเขากล่าวว่า “พยายามอย่าประสบความสำเร็จ แต่ให้มีคุณค่า” การช่วยเหลือผู้อื่นไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างมีมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสู่ความสุขอีกด้วย

ความจริงอันเย็นชาที่เราต้องกล้าเผชิญหน้า: ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกทั้งหมดของเราเป็นธรรมชาติทางชีวเคมี อารมณ์ของเราเกิดขึ้นจากสรีรวิทยาของเรา ไม่ใช่จากวิญญาณลึกลับภายใน อะไรก็ตามที่สามารถเปลี่ยนสมองของเราได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเราได้

บทที่ 6 MEET YOUR DEMONS พบกับปีศาจของคุณ

We never lose our demons. We only learn to live above them. — The Ancient One to Mordo, Doctor Strange

บางคนอยู่เฉยๆโดยธรรมชาติในขณะที่คนอื่นก้าวร้าวมากกว่าหรือไม่? วิญญาณชั่วร้ายสามารถเป็นที่มาของพฤติกรรมปีศาจได้หรือไม่? ก่อนที่เราจะตอบคำถามเหล่านี้ การพิจารณาชีววิทยาของความกลัวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ทำไมคุณถึงกลัว

ไม่ว่าเราจะใหญ่และแข็งแกร่งแค่ไหน ความกลัวก็เกิดขึ้นกับเราทุกคน (แม้แต่ Man of Steel ก็กลัวคริปโตไนต์) แต่ความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาพอๆ กับความกลัวอาจเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นซึ่งวิวัฒนาการมาเพื่อปกป้องเรา มีความได้เปรียบในการเอาชีวิตรอดอย่างมากสำหรับยีนที่สร้างระบบประสาทเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเครื่องเอาชีวิตรอดสามารถจัดการกับภัยคุกคามได้เร็วเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสรอดที่จะแพร่พันธุ์มากขึ้นเท่านั้น โดยผ่านการตอบสนองต่อความกลัวที่แข็งแกร่งนี้ไปยังคนรุ่นต่อไป

การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นในร่างกายของเราทันทีที่เราตื่นกลัว ในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ตึงเครียด — เสียงที่ไม่คาดคิดหรือเงาลางร้ายปรากฏขึ้นข้างหลังคุณ — สมองของคุณจะตื่นตัวเป็นสีแดงและส่งสัญญาณการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด อะดรีนาลีน (adrenaline) และ norepinephrine จะถูกปล่อยออกมาเพื่อเพิ่มการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และการสลายน้ำตาลที่เก็บไว้เพื่อเป็นพลังงาน พวกเขายังขยายรูม่านตาของคุณเพื่อการมองเห็นที่ดีขึ้นและปิดการย่อยอาหารเพื่อเปลี่ยนพลังงานไปยังภัยคุกคาม นอกจากนี้ คอร์ติซอลยังถูกปล่อยออกมา ซึ่งเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและไปกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ให้พลังงานพิเศษในการจัดการกับภัยคุกคาม การดำเนินการบังคับทั้งหมดเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตอบโต้การสู้หรือหนีของคุณ

ตัวรับ GABA ที่เสียหายจะขัดขวางไม่ให้สมองได้รับสารสื่อประสาทที่ยับยั้ง “สงบ” นี้ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ว่าทำไมคนบางคนถึงกลัวและวิตกกังวลมากกว่า

นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการตั้งสมมติฐานว่าพฤติกรรมทั้งหมดของเรา ถูกกระตุ้นโดยจิตใต้สำนึกที่กระตุ้นให้หาเพื่อนชั้นยอดเพื่อสืบพันธุ์ เราใช้ความพยายามที่ไม่ธรรมดา (และมักจะงี่เง่า) เพื่อดึงดูดคู่ครอง และรักษาสายโซ่แห่ง DNA ของเราไว้ไม่ให้ขาดหาย

ยีนที่เห็นแก่ตัวของเราต้องการสิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับพวกมัน และพวกมันล่อลวงให้เราค้นหาคู่ครองที่มีแนวโน้มดีที่สุดสำหรับการรวมโครโมโซม นั่นเป็นจุดที่ความคล้ายคลึงกันระหว่างเพศดูเหมือนจะจบลงและความแตกต่างที่สำคัญบางอย่างเริ่มต้นขึ้นโดยพิจารณาจากความเหลื่อมล้ำโดยธรรมชาติในชีววิทยาการสืบพันธุ์

นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการยืนยันว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ชายมักจะชอบสาวพรหมจารีเพราะพวกเขาอยู่ในภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดและไม่ได้รับภาระหนักจากลูกหลานของคู่แข่ง ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงมีสิ่งของสำหรับผู้ชายที่มีรูปร่างและยศสูง เนื่องจากผู้ชายเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถหาทรัพยากรที่ลูกหลานของเธอสามารถใช้ได้ (ผู้ชายเหล่านี้มักจะแก่กว่า) หลายคนยังคงหาคู่ครองตามเกณฑ์ยุคหินใหม่เหล่านี้ แต่ (โชคดีที่ฉัน) โลกสมัยใหม่ไม่ต้องการอาวุธ Popeye เพื่อความสำเร็จในการสืบพันธุ์

ความจำเป็นทางชีวภาพในการทำซ้ำยีนของเราทำให้เกิดพฤติกรรมที่สิ้นหวังและชั่วร้ายที่สุดของเรา นักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการตั้งทฤษฎีว่าทั้งสองเพศสามารถเป็นสัตว์ที่เลวทรามเท่าเทียมกันต่อการแข่งขันที่พวกเขารับรู้ แต่ในรูปแบบที่แตกต่างกันมาก

เนื่องจากไข่หายากกว่าสเปิร์ม ผู้ชายจึงต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ชนะในการผสมพันธุ์ หากเขาล้มเหลวในการรวบรวมสถานะและทรัพยากรที่จำเป็นในการดึงดูดคู่ครอง ในบางกรณีเขาอาจมีแนวโน้มที่จะโกงเกมวิวัฒนาการและหันไปใช้การละเมิดที่น่ารังเกียจที่สุด: การทำร้ายร่างกายและการข่มขืน

แรงผลักดันในการเอาชีวิตรอดและขยายพันธุ์คือลมวิวัฒนาการที่สร้างรากฐานของธรรมชาติมนุษย์ ความแตกต่างทางชีวภาพระหว่างการสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิงยังคงดังก้องกังวานในสังคมของเราในทุกวันนี้

พฤติกรรมที่ซับซ้อนอื่นๆ ยีนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำนายดวงชะตาของบุคคลอย่างแม่นยำ สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการที่โปรแกรมพันธุกรรมดังกล่าวจะเผยแพร่ออกไป

บทที่ 7 MEET YOUR MATCH พบกับเนื้อคู่ของคุณ

I gave her my heart, she gave me a pen.— Lloyd Dobler, Say Anything

ความรักเป็นเพียงการดำเนินการแอบแฝงที่ควบคุมโดยยีนที่เห็นแก่ตัวที่หลอกล่อให้เราปกป้องมรดกของพวกเขา

แบคทีเรียและอะมีบานั้นง่าย ในการทำซ้ำพวกเขาเพียงแค่โคลนตัวเอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องเลื่อนดูโปรไฟล์ของผู้ที่อาจเป็นเพื่อน เพราะสงสัยว่าบุคคลนั้นใช้ความจริงไปมากแค่ไหน พวกเขาไม่จำเป็นต้องแต่งตัวตามยุคสมัย หมักน้ำหอม และแสร้งทำเป็นสนใจในงานอดิเรกที่น่าเบื่อของใครซักคนในขณะที่แทะในดินเนอร์ใต้แสงเทียนราคาแพงเกินไป สิ่งเดียวที่แบคทีเรียจำเป็นต้องเปิดเครื่องรูดคือดีเอ็นเอของพวกมัน เมื่อมันลอกออกจากกัน เอ็นไซม์จะทำสำเนาของมันเข้าไปในแบคทีเรียของลูกสาวขณะที่เธอแตกหน่อจากพ่อแม่ ไม่มีการกอด ไม่ปูผ้า ไม่สารภาพว่าสิ่งเดียวที่คุณรู้วิธีทำอาหารเช้าคือ Pop-Tarts

ประโยชน์หลักของเพศจากมุมมองของวิวัฒนาการคือความหลากหลายทางพันธุกรรม การจำลองแบบแบบไม่อาศัยเพศทำให้เกิดโคลน นอกเหนือจากการกลายพันธุ์แบบสุ่มเป็นครั้งคราวเนื่องจากข้อผิดพลาดในการคัดลอกดีเอ็นเอ แบคทีเรียลูกจะเหมือนกับแบคทีเรียแม่ ผ่านเลนส์ของยีนที่เห็นแก่ตัว นั่นคือกลยุทธ์การจำลองแบบขั้นสูงสุด แต่มีสิ่งที่จับได้: หากแบคทีเรียเผชิญกับภัยคุกคาม เช่น เชื้อราที่หลั่งเพนิซิลลิน อาณานิคมของโคลนทั้งหมดก็อาจถูกปราบได้ อย่างไรก็ตาม อาณานิคมโคลนที่อยู่ติดกันอาจดื้อยาเพนิซิลลินได้ เพราะมียีนที่สร้างเอนไซม์ที่ทำลายยาปฏิชีวนะ ถ้ามีเพียงวิธีที่จะได้รับยีนนั้น! นั่นคือที่มาของเซ็กส์ แบคทีเรียสามารถมีส่วนร่วมในรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์ที่เรียกว่าคอนจูเกชัน โดยที่แบคทีเรียตัวหนึ่งให้ DNA กับอีกตัวหนึ่งผ่านทางท่อที่เรียกว่า pilus ซึ่งสร้างและแทรกเข้าไปในแบคทีเรียอีกตัวหนึ่ง เสียงคุ้นเคย?

เพศเกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนยีนเช่นการซื้อขายการ์ด ซึ่งถือเป็นการประนีประนอมอย่างมากสำหรับยีนที่เห็นแก่ตัว แทนที่จะเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ของยีนที่ส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป มีเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ส่งต่อ อีก 50 เปอร์เซ็นต์มาจากคู่นอน เพศทำให้ยีนของแต่ละคนเจือจางลง แต่ผลที่ผสมจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในกลไกการเอาตัวรอดซึ่ง DNA แบบใหม่จะสร้างขึ้น

เพศเป็นการประนีประนอมที่ได้เปรียบสำหรับยีนที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ยังเป็นการประนีประนอม ยีนที่เห็นแก่ตัวต้องใช้สติปัญญาในการระบุคู่หูที่ดีที่สุดสำหรับการควบรวมทางพันธุกรรม ดังนั้นพวกเขาจึงปรับแต่งลักษณะทางกายภาพบางอย่างลงในป้ายโฆษณา DNA เช่นเดียวกับโฆษณาที่แข่งขันกับพนักงานขายรถยนต์ โฆษณา DNA เหล่านี้บางรายการได้รับการพัฒนาให้ดังและน่ารังเกียจ

ลักษณะทางกายภาพเป็นเงื่อนงำแรกที่เราได้รับเมื่อเพิ่มขนาดคู่ครอง โดยให้การอ่านข้อมูลคร่าวๆ แต่รวดเร็วสำหรับคุณภาพสัมพัทธ์ของยีนของบุคคลนั้น ทั่วทั้งอาณาจักรสัตว์ ทุกสายพันธุ์ใช้สัญญาณทางกายภาพเหล่านี้เพื่อคัดเลือกคู่ครองที่มีศักยภาพ และพวกมันมักจะกำหนดว่าคุณจะปัดไปทางซ้ายหรือขวา แรงกดดันในการคัดเลือกได้ผลักดันคุณลักษณะบางอย่างเหล่านี้ไปสู่ความไร้สาระ ตัวอย่างที่คุ้นเคยที่สุดคือขนหางนกยูงตัวผู้ที่สวยงามแต่ทำไม่ได้อย่างน่าทึ่ง ลักษณะที่ฟุ่มเฟือยดังกล่าวทำให้ชาร์ลส์ ดาร์วินงงงวย เนื่องจากดูเหมือนเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานที่ทำให้นกเป็นภาระและปล่อยให้ผู้ล่าได้สัมผัส

ดาร์วินไขปริศนานี้ด้วยแนวคิดเรื่องการเลือกเพศ ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตดูเหมือนไร้ประโยชน์เพียงเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับเพศตรงข้าม ตัวเมียจะรับรู้ว่านกยูงตัวผู้ที่มีพัดขนนกที่ฉูดฉาดเป็นสิ่งที่จับได้ดี ถ้าเขาสามารถรองรับขนนกที่น่าขนลุกได้ แต่ยังคงหลบเลี่ยงผู้ล่าได้ เขาจะต้องแข็งแกร่งและฉลาดแกมโกงเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่ผู้หญิงอาจมองว่าเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเธอ อีกทางหนึ่ง หางที่แวววาวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวผู้พร้อมสำหรับการผสมพันธุ์ ยิ่งจอแสดงผลมีความสว่างมากเท่าใด โอกาสที่เขา (และลูกผู้ชายของเขา) จะดึงดูดคู่ครองก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากเธอต้องการทำให้ยีนเจือจาง ดีเอ็นเอของนกยูงตัวนี้ก็คู่ควรที่จะว่ายในสระยีนของเธอ

ผู้หญิงมักจะสนใจที่จะคบหากับผู้ชายที่มีฐานะและมั่งคั่ง เพราะทรัพยากรดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเธอและลูกๆ ของเธอ แม้ว่าผู้หญิงทุกคนจะคลั่งไคล้ผู้ชายที่แต่งตัวเฉียบคม แต่ผู้หญิงก็ดูโอ้อวดด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเคร่งขรึม โดยเลือกผู้ชายไหล่กว้างที่มีกรามที่ขรุขระและคิ้วที่จัดไว้อย่างชัดเจน ลักษณะเฉพาะของผู้ชายเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงวัยแรกรุ่นโดยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในระดับสูง และช่วยให้ผู้หญิงอ่านข้อมูลความแข็งแกร่งและพละกำลังได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

ทฤษฎีที่ว่าสารเคมีที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเราส่งผลกระทบต่อความโน้มเอียงที่โรแมนติกของเราโดยไม่รู้ตัวได้รับการทดสอบในหลาย ๆ ด้าน กลื่นมีผลกับเราโดยไม่รู้ตัว

ความรักในวัยเยาว์เปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนติดเครียด ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำนอนไม่หลับ แต่ความรักไม่เพียงเปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมีในร่างกายของเรา เช่น ยาที่ไม่ดี แต่ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองด้วย ความรักรู้สึกเหมือนคุณอยู่ภายใต้มนต์สะกดเพราะสมองของคุณไม่ได้คิดอย่างชัดเจน การศึกษาเกี่ยวกับภาพสมองแสดงให้เห็นว่าการแอบชอบใครสักคนจะปิดการใช้งานเส้นทางประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เชิงลบ ซึ่งรวมถึงความกลัวและการตัดสินทางสังคม ซึ่งทำให้ความสามารถในการประเมินบุคลิกของบุคคลนั้นลดลงอย่างเป็นกลาง ความรักอาจทำให้คุณตาบอดในแง่ที่ว่ามันทำให้สมองของคุณหยุดความผูกพันกับกระบวนการวิเคราะห์เพื่อส่งเสริมความรู้สึกของความสามัคคีระหว่างคุณกับความปรารถนาของหัวใจ สำหรับคนนอก ดูเหมือนว่าคุณได้ปล่อยความรู้สึกของคุณไปแล้ว และในแง่ประสาทวิทยา นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น

ความรักเคลื่อนตัวเร็วมาก การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายของคุณนั้นรวดเร็ว และรองรับสิ่งแปลก ๆ ที่คุณกำลังทำกับ เพื่อ และสำหรับคนรักใหม่ของคุณ

ความรักในวัยหนุ่มสาวที่เปรียบเสมือนการติดยา

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอื่นๆ อธิบายว่าความรักที่เรามีให้กันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง

วามรักเขย่าเราเหมือนพายุเฮอริเคน แต่ในที่สุด — ด้วยความเมตตา — พายุก็สงบลง และเราควรสนุกกับการล่องเรือในน่านน้ำอันเงียบสงบ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเป็นเรื่องที่ต้องกังวล เนื่องจากตัณหาได้สูญเสียความรักไปในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลกในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม ความรักสามารถชนะได้ในที่สุดสำหรับผู้ที่เต็มใจที่จะปลูกฝังความสัมพันธ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

มีเหตุผลดีๆ ว่าทำไมคู่รักควรพยายามอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต แต่วิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยว่าเหตุใดหลายคนจึงไม่เหมาะที่จะทำเช่นนั้น ไม่มีวิธีแก้ปัญหาเดียวสำหรับความผูกพันของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงหยุดหลอกตัวเองว่าทุกคนควรอยู่ด้วยกันตลอดไป คำจำกัดความของการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จสามารถขยายไปถึงผู้ที่ยังคงรักและกรุณาต่อกันไม่ว่าจะอยู่ใต้หลังคาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม

ทำไมเราถึงอยู่ด้วยกัน

ทุกสปีชีส์มีนิสัยใจคอในการผสมพันธุ์เมื่อต้องเพิ่มโอกาสในการขยายพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จ

หลักฐานที่ท่วมท้นแสดงให้เห็นว่าแรงดึงดูดของเพศเดียวกันนั้นไม่ต่างจากประสบการณ์ดึงดูดของเพศตรงข้าม ทั้งสองมีพื้นฐานทางชีววิทยาและได้รับการตั้งโปรแกรมไว้ในสมองก่อนคลอดโดยพิจารณาจากการผสมผสานของพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่ทารกในครรภ์เลือก พวกรักต่างเพศไม่เคยหวนนึกถึงวันที่พวกเขาออกไปเดินเล่นเป็นเวลานาน และตัดสินใจที่จะถูกปลุกเร้าโดยเพศตรงข้ามเท่านั้น ทางเลือกเดียวที่ผู้คนมีในเวทีเรื่องเพศคือพวกเขาเลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้ที่แตกต่างจากคนอื่นด้วยความเคารพ ศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมกันที่พวกเขาสมควรได้รับหรือไม่ คนก็คือคน

เรามีโซลเมทไหม?

จากผลสำรวจของ Marist Poll ในปี 2011 ชาวอเมริกันเกือบ 75 เปอร์เซ็นต์เชื่อในเรื่องเนื้อคู่: ความคิดที่ว่ามีเพียงคนเดียวที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนแสงแดด แนวคิดเรื่องเนื้อคู่เป็นตัวอย่างที่ดีของความรัก ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของเราทันทีที่เราได้ยิน “และทั้งคู่ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป” ใครไม่อยากถูกคู่หูที่ไร้ที่ติกวาดเท้าไปจากพวกเขา? มันเกิดขึ้นกับผู้คนตลอดเวลาในภาพยนตร์ รายการทีวี และหนังสือ เหตุใดคุณจึงไม่เป็นเช่นนั้น

อย่าสิ้นหวัง — ความเชื่อในเนื้อคู่กลายเป็นผลเสียต่อความสัมพันธ์ของเรา ผู้คนที่หาคู่ชีวิตใช้เวลามากเกินไปในการเดาทางเลือกของพวกเขาแทนที่จะทำงานในความสัมพันธ์ดังกล่าว

จงรู้สึกหลงใหลอยู่เสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสารที่เติมโดปามีนในช็อตใหม่ๆ เพื่อรักษาการแก้โดปามีนไว้เป็นคู่ บางคนต้องผจญภัยไปพร้อม ๆ กัน

บทที่ 8 MEET YOUR MIND พบกับใจของคุณ

If the human brain were so simple that we could understand it, we would be so simple that we couldn’t. — Emerson M. Pugh, The Biological Origin of Human Values

สมองของเราเป็นอวัยวะที่ไม่ธรรมดาซึ่งดูเหมือนจะให้คุณลักษณะใหม่ที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่มี นั่นคือ เจตจำนงเสรี เมื่อเรานึกถึงว่าจะไปเต้นรำหรือพักค้างคืน รู้สึกเหมือนว่าเราเป็นนายหน้าอิสระในการตัดสินใจครั้งนี้ แต่จิตใต้สำนึกของคุณอาจมาถึงการตัดสินใจนี้โดยพิจารณาจากปัจจัยที่คุณไม่รู้และหลอกให้คุณรู้สึกเหมือนได้โทรออกหรือไม่

หน้าที่หลักของสมองคือการจำลองความเป็นจริงของเราเพื่อนำโลก “ออกไปที่นั่น” เข้าไปในกะโหลกศีรษะของเรา เพื่อให้สมองของเราสามารถตอบสนองได้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราเรียกว่า “ตัวตน” ของเราเป็นเพียงตัวละครอีกตัวในโทรสารนี้ และสมองของเรารู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรก่อนที่เราจะทำ หากสิ่งนี้เป็นจริง ความรู้สึกในตนเองและเจตจำนงเสรีของเราก็คือภาพลวงตา

ก่อนที่หัวของคุณจะหมุนไปจากบ่าของคุณทันทีและคุณเข้านอนโดยคิดว่าไม่มีใครรับผิดชอบในสิ่งใด มีโรงเรียนแห่งความคิดที่โต้แย้งว่าแทนที่จะมีเจตจำนงเสรี เรามี “อิสระที่จะไม่ทำ” แม้ว่าเราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของจิตใต้สำนึกของเราได้ แต่นักวิจัยบางคนโต้แย้งว่าสมองที่มีสติสัมปชัญญะของเรามีอำนาจยับยั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิตใต้สำนึกของเราก็เหมือนกับการร่างกฎหมายของรัฐสภา และสมองที่มีสติสัมปชัญญะของเราคือประธานาธิบดี เราไม่มีเจตจำนงเสรีที่จะเรียกเก็บเงินจากโต๊ะของเรา แต่เราสามารถตัดสินใจได้ว่าอันไหนจะถูกส่งไปยังถังรีไซเคิล

เจตจำนงเสรีหรือเสรีไม่ทำ ความจริงก็คือ ชีวิตไม่ต้องการสมอง แต่สมองทำให้ชีวิตมีค่า

บทที่ 9 MEET YOUR BELIEFS พบกับความเชื่อของคุณ

Never theorize before you have data. Invariably, you end up twisting facts to suit theories instead of theories to suit facts. — Arthur Conan Doyle, The Adventures of Sherlock Holmes

อย่าสร้างทฤษฎีก่อนที่คุณจะมีข้อมูล คุณมักจะบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เหมาะกับทฤษฎีแทนที่จะเป็นทฤษฎีเพื่อให้เหมาะกับข้อเท็จจริง

ยีนสร้างโปรตีน สมองของเราสร้างความคิด สมองส่วนอื่นๆ วิจารณ์แนวคิดเหล่านี้ ซึ่งต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและสืบพันธุ์ เช่นเดียวกับยีน ความคิดที่เป็นประโยชน์จะแสดงออกมาและความคิดที่ไม่ได้ผลจะถูกปิดปากไว้ ยิ่งมีสมองสนับสนุนแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นความเชื่อที่แทรกซึมวัฒนธรรมมากขึ้นเท่านั้น

สมองต้องทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนความคิดให้เป็นความเชื่อ หรือเพื่อขจัดความเชื่อที่ล้าสมัย

สมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีการพัฒนาวิธีที่เข้ากันได้เป็นเวลาหลายล้านปี และได้ปรับโครงสร้างเป็นลำดับชั้นตามอันดับ ลิงชิมแปนซีติดอยู่กับเครือข่ายสังคมที่ซับซ้อนและรวมตัวกันเป็นพันธมิตรกับบุคคลที่มีสถานะสูงต่างกันมาก เช่นเดียวกับที่เราทำ ลักษณะเด่นของเพศชายอัลฟ่าในสังคมชิมแปนซี ได้แก่ ความแข็งแกร่งทางกายภาพ ไหวพริบ และความสามารถในการรับสมัครเพื่อนที่ซื่อสัตย์ การท้าทายชายอัลฟ่าอาจเป็นความผิดพลาดร้ายแรง ความกลัวที่ฝังแน่นนี้อาจอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมเราถึงลังเลที่จะเข้าร่วมการก่อกบฏ

ทำไมเราถึงนับถือศาสนา

เกือบจะลึกลับพอ ๆ กับศาสนาก็คือความจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่บนโลกนี้นับถือศาสนา เช่นเดียวกับภาษา การค้า การใช้เครื่องมือ และสตาร์บัคส์ ศาสนาบางอย่างมีให้เห็นในทุกวัฒนธรรมทั่วโลก

แนวคิดทางศาสนาอาจยืนยาวกว่าเพราะสมองของเราอึดอัดเมื่อเผชิญกับความไม่แน่นอน — เช่น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตาย ตราบใดที่เรายังคงได้รับของขวัญ

ดังที่นักปรัชญา Albert Camus ตั้งข้อสังเกตว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตพยายามโน้มน้าวตนเองว่าการดำรงอยู่ของพวกเขานั้นไม่ไร้สาระ” ศาสนาคือซุปไก่สำหรับจิตใจของนักร้อง

สมองของเราอ่อนแอต่อการสร้างภาพที่อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโลกอื่นหรือทางจิตวิญญาณได้ง่าย จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมคนจำนวนมากจึงยอมรับแนวคิดทางศาสนา

อะไรก็ตามที่เราไม่เข้าใจได้ง่าย ๆ เราเรียกพระเจ้า ซึ่งช่วยประหยัดการสึกหรอของเนื้อเยื่อสมองได้มาก

อย่าประมาทพลังของความไม่ลงรอยกันทางปัญญา มีส่วนรับผิดชอบต่อบทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและน่าอายที่สุดบางบทในประวัติศาสตร์ของเรา เพื่อแสดงให้เห็นว่าการคิดที่ไม่สอดคล้องกันที่น่าสมเพชทำให้เราดูเป็นอย่างไร ให้พิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้นกับกาลิเลโอ ด้วยกล้องโทรทรรศน์ของเขาในทศวรรษ 1600 กาลิเลโอได้ยืนยันแนวคิดนอกรีตที่ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล การเปิดเผยดังกล่าวทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันทางปัญญาในสัดส่วนตามพระคัมภีร์ เพราะมันขัดกับคำสอนของคริสตจักร แทนที่จะยอมรับข้อเท็จจริงที่แจ่มชัด คริสตจักรกลับเลือกที่จะปิดหูปิดตา กาลิเลโอถูกตัดสินให้กักบริเวณในบ้านและถูกบังคับให้ละทิ้งสิ่งที่ค้นพบหลังจากพบปะพูดคุยด้วยอุปกรณ์ทรมานในยุคกลางในสมัยของเขา คริสตจักรได้ให้อภัยกาลิเลโอ 350 ปีต่อมา

ความไม่ลงรอยกันทางปัญญายังคงมีอยู่มากในปัจจุบันเนื่องจากความผูกพันส่วนตัวของเรากับความเชื่อ วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเป็นความอับอายขายหน้าหรือเสียงหัวเราะให้กับคนรุ่นต่อไปคือการแยกตัวออกจากความเชื่อ แม้แต่ความเชื่อทางศาสนาที่เรารักมาก สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าพวกเขาเป็นทฤษฎีเหนือธรรมชาติที่คิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วเพื่อปลอบประโลมสมองที่กระสับกระส่าย แต่ตอนนี้หลักฐานจำนวนมากยืนหยัดต่อต้านพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการวางกับดักเหล่านี้ ให้ดำเนินชีวิตตามสมมติฐานและทำให้แนวคิดของคุณมีความยืดหยุ่น ฝึกสมองของคุณให้เอาชนะตัวเองและยอมรับความไม่แน่นอน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการเรียนรู้ หากเราดำเนินชีวิตตามหลักฐานที่มีอยู่ ณ เวลานั้น จะไม่มีใครตำหนิตรรกะนั้นได้ การใช้ชีวิตของเราโดยไม่สนใจหลักฐานนั้นไร้เหตุผล และเราสมควรที่จะถูกตักเตือน

คุณ ความสุขและความเศร้าโศกของคุณ ความทรงจำและความทะเยอทะยานของคุณ อัตลักษณ์ส่วนบุคคลและเจตจำนงเสรีของคุณ แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่พฤติกรรมของเซลล์ประสาทจำนวนมหาศาลและโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกัน — Francis Crick -The Astonishing Hypothesis-1994

เราทุกคนสงสัยว่าจะรู้สึกอย่างไรหลังจากที่เราตาย แต่ความจริงก็คือเรารู้แล้ว มันจะเป็นเหมือนก่อนเราเกิด เราจะไม่มีความรู้สึก เพราะเราจะไม่มีอีกต่อไป

การตระหนักว่าชีวิตเป็นหนังเรื่องเดียวที่ไม่มีภาคต่อ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความเร่งด่วนในการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น — ดังที่สตีฟ จ็อบส์กล่าวไว้เป็นนัยว่า “ความตายมักจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต”

Nothing gives life more purpose than the realization that every moment of consciousness is a precious and fragile gift. — Steven Pinker

ไม่มีอะไรให้ชีวิตมีจุดมุ่งหมายมากไปกว่าการตระหนักว่าทุกช่วงเวลาของสติคือของขวัญล้ำค่าและเปราะบาง

เราถูกถักทออย่างแนบเนียนในโครงสร้างของจักรวาล เชื่อมโยงกับทุกสิ่งและทุกๆ คน เราถูกสร้างขึ้นจากยีน แต่การแสดงออกของยีนเหล่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของเราและประสบการณ์ของบรรพบุรุษของเรา เครื่องช่วยชีวิตของเราได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เรามีกับจุลินทรีย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในร่างกายและมีมส์ทางวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ในสมองของเรา

บทที่ 10 MEET YOUR FUTURE พบกับอนาคตของคุณ

The more we understand our nature, the better we’ll be at nurturing.— Steven Johnson, “Sociobiology and You,” The Nation

ยิ่งเราเข้าใจธรรมชาติของเรามากเท่าไร เราก็จะยิ่งบำรุงเลี้ยงดูได้ดีเท่านั้น

วิทยาศาสตร์ได้ทำลายมุมมองดั้งเดิมที่ว่าพฤติกรรมของเราเกิดจากวิญญาณที่คลุมเครือซึ่งอาศัยอยู่ในร่างกาย การเปิดเผยว่าการกระทำของเรามีพื้นฐานทางกลไกและทางชีววิทยาทำให้เกิดอารมณ์ที่หลากหลายในหมู่คนที่คุ้นเคยกับการคิดว่าสมการของมนุษย์ต้องมีบางอย่างมากกว่าเซลล์และชีวเคมี

เราได้ค้นพบวิธีที่คลุมเครือหลายอย่างที่ยีน อีพีเจเนติกส์ จุลินทรีย์ และจิตใต้สำนึกของเรามีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ ความเชื่อ และแทบทุกสิ่งที่เราพูดและทำ ตอนนี้เราได้ผลักพลังที่ซ่อนอยู่เหล่านี้เข้าสู่ความสว่างแล้ว เราสามารถหาวิธีที่จะเอาชนะพวกมันได้หรือไม่? การเปิดเผยได้รับความประหลาดใจ แต่ข่าวดีก็คือการรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของเราเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นที่จำเป็นในการทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

การแก้ไขยีน การปรับการแสดงออกของยีนด้วยยาอีพีเจเนติก การจัดการไมโครไบโอตาของเรา และส่วนต่อประสานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์เป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นที่จะช่วยปรับปรุงชีวิตบนท้องถนน บางคนจะกล่าวถึงความอัศจรรย์ของเทคโนโลยีว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิด เพราะความก้าวหน้าเหล่านี้เป็นผลโดยตรงจากการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นรางวัลที่มาจากการวิจัยเชิงสืบสวนที่ยากเย็นแสนเข็ญมานานหลายศตวรรษโดยมุ่งเป้าไปที่การทำความเข้าใจกลศาสตร์ที่อยู่ภายใต้สรีรวิทยาของมนุษย์ แทนที่จะลดทอนความรู้ที่ลดทอนความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ กลับช่วยให้เราบรรเทาความทุกข์ทรมานและปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้นได้

พฤติกรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ของเราในปัจจุบัน เราเป็นอย่างที่เราเป็น และเราทำในสิ่งที่เราทำด้วยเหตุผลเชิงตรรกะที่ฝังอยู่ในชีววิทยาของเรา การระบุแหล่งที่มาที่แท้จริงของพฤติกรรมทำให้กระจ่างว่าเราเป็นใครและเราสามารถเป็นอะไรได้ การเอาใจใส่ข้อมูลทำให้เราใช้ชีวิตตามหลักฐานแทนการสันนิษฐาน

บทส่งท้าย MEET THE NEW YOU พบกับคุณคนใหม่

Instead of condemning people, let’s try to understand them. Let’s try to figure out why they do what they do. That’s a lot more profitable and intriguing than criticism; and it breeds sympathy, tolerance, and kindness.— Dale Carnegie, How to Win Friends and Influence People

แทนที่จะประณามผู้คน ให้พยายามทำความเข้าใจพวกเขา ลองคิดดูว่าทำไมพวกเขาถึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นเป็นผลกำไรและน่าสนใจมากกว่าการวิจารณ์ และทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ ความอดทน และความเมตตา

คุณคงเห็นแล้วว่า การทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงทำในสิ่งที่เราทำนั้นง่ายมาก ไม่! ไม่มีอะไรอธิบายได้ทุกอย่าง หมายความว่าไม่เคยมีคำอธิบายใดๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของเราเลย ความสำเร็จและความล้มเหลวในชีวิตของเราไม่ได้มาจากความยอดเยี่ยมหรือขาดสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว การกระทำและบุคลิกภาพของเราเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันที่ชวนเวียนหัวระหว่างยีน (รวมถึงวิธีที่ยีนเหล่านั้นได้รับการตั้งโปรแกรมทางอีพีเจเนติคัล) จุลินทรีย์ ฮอร์โมน สารสื่อประสาท และสิ่งแวดล้อมของเรา เราไม่สามารถมองพฤติกรรมปัจจุบันของเราได้หากไม่ได้จดจำรอยนิ้วมือสกปรกที่ทิ้งไว้เบื้องหลังแรงกดดันจากวิวัฒนาการที่หล่อหลอมเรา — โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงผลักดันจากจิตใต้สำนึกที่เข้มข้นเพื่อความอยู่รอดและการสืบพันธุ์

เราก็ได้ตระหนักว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ หรือไม่ทั้งหมด ไม่ใช่ความตั้งใจของเราเอง มันถูกชี้นำและจำกัดด้วยสายหุ่นเชิด สายหนึ่งคือดีเอ็นเอ อีกประการหนึ่งคือ epigenetics อีกประการหนึ่งคือจุลินทรีย์ของเรา อีกอย่างคือจิตใต้สำนึกของเรา และเรากำลังค้นพบข้อขัดแย้งอื่นๆ ที่ดึงพฤติกรรมของเราในแบบที่เรายังไม่รู้ ตัวอย่างเช่น เมื่อยีนถูกถ่ายทอดเป็นโปรตีน คำสั่งทางพันธุกรรมจะถูกส่งไปยังโมเลกุลที่เรียกว่า messenger RNA (mRNA) ซึ่งสามารถดัดแปลงทางเคมีได้เช่นเดียวกับ DNA ที่สามารถถูกเมทิลเลตได้ การศึกษาการปรับเปลี่ยนทางเคมีใน mRNA เรียกว่า epitranscriptomics และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อปริมาณโปรตีนที่สร้างจาก mRNA และเมื่อใด โปรตีนเองก็สามารถดัดแปลงทางเคมีในลักษณะที่เปลี่ยนแปลงความเสถียร การทำงาน หรือตำแหน่งในเซลล์ ขั้นตอนการกำกับดูแลเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้ยากขึ้นเรื่อยๆ ในการทำนายพฤติกรรมของใครบางคนโดยอาศัยลำดับยีนของพวกเขาเพียงอย่างเดียว

เราสามารถขจัดยีนที่เห็นแก่ตัวและดำเนินชีวิตด้วยการเลี้ยงดูของมนุษย์ มากกว่าธรรมชาติของมนุษย์

ฉันคิดว่าเราทุกคนพร้อมสำหรับความท้าทายแล้ว

เว็บไซต์ผู้แต่ง: https://authorbillsullivan.com/

Chalermchai Aueviriyavit
Chalermchai Aueviriyavit

Written by Chalermchai Aueviriyavit

Happiness,Design Thinking, Psychology, Wellbeing

No responses yet