SIGNS THE ONLY PROBLEM WITH YOUR LIFE is the way YOU THINK ABOUT IT
สัญญาณที่บอกว่าปัญหาเดียวในชีวิตคุณคือวิธีที่คุณคิดเกี่ยวกับมัน
15 Signs The Only Problem With Your Life Is The Way You Think About It สัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าปัญหาเดียวในชีวิตของคุณคือวิธีที่คุณมองมัน
1. You generally spend more time thinking about your life than you do actually living it. คุณมักจะใช้เวลาคิดถึงชีวิตของตัวเองมากกว่าการใช้ชีวิตจริง
You spend more time dissecting problems than you do coming to solutions, more time daydreaming than you do asking yourself what those thoughts indicate is lacking or missing in your waking life, or coming up with new solutions as opposed to actually committing to the ones that are already in front of you. You’ve replaced “reflection” with “experience,” and wonder why you feel unfulfilled. คุณใช้เวลาในการวิเคราะห์ปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา คุณใช้เวลาในการฝันกลางวันมากกว่าการถามตัวเองว่าการฝันกลางวันเหล่านี้บ่งชี้ว่าคุณขาดหรือขาดบางสิ่งบางอย่างในชีวิตจริงของคุณหรือไม่ หรือคุณมักจะถามคำถาม วิธีแก้ปัญหาใหม่ ๆ แทนที่จะนำไปใช้จริง ๆ ที่มีอยู่แล้ว มีอยู่. คุณเปลี่ยน “ประสบการณ์” เป็น “การไตร่ตรอง” และไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงรู้สึกไม่พอใจ
2. You don’t find wonder in the simple pleasures, the way you once did. คุณจะไม่พบปาฏิหาริย์ในความสุขง่ายๆ เหมือนที่คุณเคยพบอีกต่อไป You think nature is boring and “play” is for children and there’s nothing awe-inspiring about a shaft of light through the window or a stranger’s smile or a spring day or your favorite book in bed. When you’ve lost sight of the magic of the little things, it’s not because the magic has gone elsewhere, only that you’ve chosen to disregard it in favor of something else. คุณคิดว่าธรรมชาติน่าเบื่อและ “การเล่น” นั้นมีไว้สำหรับเด็กๆ การที่แสงจากนอกหน้าต่าง รอยยิ้มของคนแปลกหน้า วันในฤดูใบไม้ผลิ หรือการนอนอ่านหนังสือที่คุณชื่นชอบอยู่บนเตียงล้วนเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก คุณไม่เห็นความงามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เพราะมันไม่สวยงาม แต่เป็นเพราะคุณเลือกที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้นและชื่นชมสิ่งอื่น
3. You have something you wanted in the past, but you don’t enjoy it the way you thought you would, or you’ve replaced your desire for it with a desire for something else. คุณได้สิ่งที่อยากได้มาตลอดแต่กลับไม่มีความสุขอย่างที่คิด หรือหยุดโหยหามันและเริ่มโหยหาสิ่งอื่น Bring yourself back to the feeling of wanting what you have more than anything, the way you once did. Try to embody that. You’re making yourself prouder than you realize. ปล่อยให้ตัวเองกลับไปสู่ความรู้สึกที่ต้องการบางสิ่งมากกว่าสิ่งอื่นใด เหมือนอย่างที่คุณเคยทำในอดีต รู้สึกถึงความรู้สึกนั้น คุณจะมีพลังมากกว่าที่คุณคิด
4. If you were to tell your younger self what your life is like now, they’d be in disbelief. หากคุณบอกตัวเองที่อายุยังน้อยว่าชีวิตของคุณเป็นอย่างไรตอนนี้ เขาหรือเธอจะพบว่ามันช่างเหลือเชื่อ You seriously could not have imagined that your life would turn out as well as it did — that the worst things became turning points, not endless black holes of emotion. คุณไม่สามารถจินตนาการได้ว่าชีวิตของคุณจะดีขนาดนี้ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนแทนที่จะเป็นหลุมดำทางอารมณ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
5. You think of money in terms of “obligation” not “opportunity.” คุณมองว่าเงินเป็น “ภาระผูกพัน” มากกว่า “โอกาส” Your mindset is: “I have to pay my bills,” as opposed to “I get to pay my bills, which house me, clothe me, and feed me, and that I can pay for by myself.” If you don’t value money by appreciating what it does for you, you’ll never feel as though you have enough. ทัศนคติของคุณคือ “ฉันต้องจ่ายบิล” มากกว่า “ฉันสามารถจ่ายบิล บ้าน เสื้อผ้า อาหาร ฉันจ่ายเองได้” หากคุณไม่เห็นคุณค่าของเงินของคุณและชื่นชมทุกสิ่งที่ทำเพื่อคุณ คุณจะไม่มีวันรู้สึกว่าสิ่งที่คุณมีนั้นเพียงพอแล้ว
6. You think you don’t have enough friends. คุณคิดว่าคุณมีเพื่อนไม่เพียงพอ You’re measuring the connection in your life by a quantity, not a quality, assuming that the problem is not enough around you, when it’s really that there’s not enough inside you. คุณใช้ปริมาณมากกว่าคุณภาพในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในชีวิต คุณคิดว่าปัญหาของคุณคือไม่มีใครอยู่รอบตัวคุณ แต่จริงๆ แล้วกลับไม่มีใครอยู่ในใจคุณ
7. You’re either over-reliant or under-attached to the friends you do have. สำหรับเพื่อนปัจจุบันของคุณ คุณพึ่งพาตนเองมากเกินไปหรือขาดการติดต่อ You either don’t keep in touch enough or you get easily frustrated because you think that friends should make you feel “better” and “happy” in an unrealistic way. So you think that the only way to achieve that is to over-bond yourself to them, or disregard them when they don’t fulfill the role you’ve imposed on them (hence your feeling as though you don’t have enough!) คุณไม่ค่อยติดต่อกับเพื่อนๆ มากนัก หรือคุณอาจไม่พอใจได้ง่ายเพราะคุณเชื่อว่าเพื่อนของคุณมีหน้าที่ที่จะทำให้คุณรู้สึก “ดีขึ้น” และ “มีความสุขมากขึ้น” คุณเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้คือการพึ่งพาพวกเขามากเกินไป หรือตัดตัวเองออกจากพวกเขาเมื่อพวกเขาล้มเหลวในการดำเนินชีวิตตามความรับผิดชอบที่คุณกำหนดไว้ (ดังนั้นคุณมักจะรู้สึกว่าคุณมีไม่เพียงพอ!)
8. You imagine your life as though someone else was seeing it. เมื่อคุณจินตนาการถึงชีวิตของตัวเอง คุณจะจินตนาการเสมอว่าคนอื่นมองชีวิตของคุณอย่างไร Before you make a decision, you recite a storyline in your head. It goes something like this: “she went to college, she got this job, she married this guy after a terrible breakup, and all was well.” This is what happens when your happiness starts to come from how other people feel about you, as opposed to how you feel about yourself. นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อความสุขของคุณมาจากความรู้สึกที่คนอื่นรู้สึกเกี่ยวกับคุณ มากกว่าความรู้สึกที่คุณมีต่อตัวเอง
9. Your goals are outcomes, not actions. เป้าหมายของคุณคือผลลัพธ์ ไม่ใช่การกระทำ Your goals are to “be successful” or “see a certain number in the bank” as opposed to “enjoy what you do each day, no matter what you’re doing” or “learn to love saving more than frivolously spending.” Outcomes are just ideas. Actions are results. เป้าหมายของคุณคือการ “ก้าวไปข้างหน้า” หรือ “มีเงินในธนาคารจำนวนหนึ่ง” มากกว่า “สนุกกับสิ่งที่คุณทำทุกวัน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่” หรือ “เรียนรู้ที่จะประหยัดเงินและไม่ใช้จ่ายอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า “ ผลลัพธ์เป็นเพียงความคิด การกระทำนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แท้จริง
10. You assume you have time. คุณคิดว่าคุณยังมีเวลาWhen it comes to doing what really matters to you — reconnecting with family, writing that book, finding a new job — you say “I’m only [such and such an age] I have a long time.” If you assume you “have time” to do something, or that you’ll do it later, you probably don’t want it as much as you think you do. There isn’t more time. You don’t know. You could be dead tomorrow. It doesn’t mean you have to get everything done today, but that there’s rarely an excuse not to start. เมื่อถึงเวลาต้องทำสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณจริงๆ ติดต่อครอบครัว เขียนหนังสือ หางานใหม่ คุณพูดว่า “ฉันอายุแค่… ขวบ แต่ยังมีเวลาอีกมาก” คุณคิดว่า “ยังมีเวลา” อย่ารีบทำอะไร อาจเป็นเพราะคุณไม่ได้อยากทำสิ่งนั้นมากอย่างที่คิด มีเวลาไม่มากจริงๆ มีหลายสิ่งที่คุณไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น พรุ่งนี้คุณอาจจะตาย แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นในวันนี้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณไม่สามารถเริ่มต้นได้ในตอนนี้
11. A bad feeling becomes a bad day. อารมณ์ไม่ดีอาจกลายเป็นวันที่แย่ได้ You think that experiencing negative emotions is the result of something being wrong in your life, when in reality, it’s usually just a part of being human. Anxiety serves us, pain serves us, depression does too. These things are signals, communications, feedbacks, and precautions that literally keep us alive. Until you begin thinking this way, all you will perceive is that “good feelings mean keep going” and “bad feelings mean stop,” and wonder why you’re paralyzed. คุณคิดว่าการมีอารมณ์เชิงลบหมายถึงมีบางอย่างผิดปกติในชีวิตของคุณ แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ ความวิตกกังวล ความเจ็บปวด และความซึมเศร้าล้วนสามารถนำมาใช้กับเราได้ อารมณ์เหล่านี้เป็นสัญญาณ การสื่อสาร การตอบรับ และข้อควรระวังที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ ถ้าคิดแบบนี้ไม่ได้ ก็จะคิดว่า “ไปต่อถ้ารู้สึกดี” หรือ “หยุดถ้ารู้สึกแย่” ดังนั้นบางครั้งคุณก็ไม่อยากทำอะไรเลย
12. You think that being uncomfortable and fearful means you shouldn’t do something. หากมีสิ่งใดทำให้คุณรู้สึกอึดอัดและกลัว คุณคิดว่าคุณไม่ควรทำ Being uncomfortable and fearful means you definitely should. Being angry or indifferent means you definitely shouldn’t. ความรู้สึกไม่สบายใจและกลัวหมายความว่าคุณควรทำอย่างยิ่ง การรู้สึกโกรธหรือไม่แยแสหมายความว่าคุณไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างยิ่ง
13. You wait to feel motivated or inspired before you act. คุณต้องรอแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจก่อนที่จะดำเนินการ Losers wait to feel motivated. People who never get anything done wait to feel inspired. Motivation and inspiration are not sustaining forces. They crop up once in awhile, and they’re nice while they’re present, but you can’t expect to be able to summon them any given hour of the day. You must learn to work without them, to gather your strength from purpose, not passion. ผู้แพ้มักจะรอที่จะได้รับแรงบันดาลใจอยู่เสมอ คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จมักจะรอคอยแรงบันดาลใจที่เข้ามาเสมอ แรงจูงใจและแรงบันดาลใจไม่ใช่พลังที่ยั่งยืน พวกมันจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว และมีประโยชน์มากเมื่อพวกมันปรากฏตัว แต่คุณไม่สามารถคาดหวังที่จะอัญเชิญพวกมันได้ตลอดเวลาของวัน คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำงานโดยปราศจากความหลงใหล และเรียนรู้ที่จะดึงความเข้มแข็งจากจุดประสงค์มากกว่าความหลงใหล
14. You maladaptively daydream. คุณมีอาการของการฝันกลางวันแบบ Maladaptive, Maladaptive daydreaming is when you imagine extensive fantasies of an alternative life that you don’t have to replace human interaction or general function. Most people experiencing it while listening to music and/or moving (walking, riding in a car, pacing, swinging, etc.) Rather than cope with issues in life, you just daydream to give yourself a “high” that eliminates the uncomfortable feeling. การฝันกลางวันแบบ Maladaptive หรือที่เรียกกันว่า “อาการเสพติดการฝันกลางวัน” เป็นกลไกในการเผชิญปัญหาที่คุณแสดงอารมณ์ในความฝันซึ่งคุณไม่สามารถแสดงออกได้ในชีวิตจริง บางคนใช้เวลาฝันกลางวันมากจนรบกวนปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและชีวิตประจำวันตามปกติ คนส่วนใหญ่ฝันกลางวันขณะฟังเพลงและขยับร่างกาย (เดิน ขี่รถ เดินไปเดินมา แกว่งไปมา ฯลฯ) เมื่อคุณประสบปัญหาต่างๆ ในชีวิต เป็นการดีกว่าที่จะฝันกลางวัน ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับจินตนาการ และกำจัดความรู้สึกอึดอัดออกไป
15. You’re saving up your happiness for another day. คุณเก็บความสุขไว้เพื่อวันพรุ่งนี้เสมอ You’re sitting on the train on the way to work, thinking how beautiful the sunrise looks, and how you’d like to read your favorite book, but you don’t in favor of checking your email again. You begin to feel a sense of awe at something simple and beautiful, and stop yourself, because your dissatisfaction fuels you. You’re creating problems in one area of your life to balance out thriving in another, because your happiness is in a mental container. คุณกำลังนั่งอยู่บนรถไฟใต้ดินเพื่อทำงาน คิดถึงพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม และอยากอ่านหนังสือเล่มโปรดมากแค่ไหน จากนั้นคุณก็รีบดึงตัวเองกลับมาและหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คอีเมลที่ทำงาน คุณกลัวว่าคุณจะติดสิ่งที่เรียบง่ายและสวยงามเหล่านี้ “ความไม่พอใจ” ของคุณมักจะผลักดันให้คุณดิ้นรนต่อไป
จาก 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ (101 Essays That Will Change The Way You Think) ผู้เขียน Brianna Wiest
ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์