สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับตัวเองก่อนที่คุณจะมีชีวิตที่ต้องการ

10 Things You Need To Know About Yourself Before You’ll Have The Life You Want ก่อนที่จะใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ มีหลายสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับตัวคุณเอง

By Brianna Wiest

https://www.pinterest.com/pin/509680882806208389/

As C.G. Jung once said, “Until you make the unconscious conscious, it will direct your life and you will call it fate.” When it comes to building the lives we want to lead, we’re taught to start constructing from how we imagine we want things to look. Titles rather than roles, images rather than realities, concepts rather than day-in-and-day-out tasks and duties and practices. It’s time to dismantle the ego-frenzied Western obsession with a Big Life, and break down what it takes to actually exist in a way we desire to. Here, all the things you must know about yourself so you can choose the life you actually want, not the one you think you do.

ดังที่คาร์ล จุง เคยกล่าวไว้ว่า “จิตใต้สำนึกของคุณนำทางชีวิตคุณ และคุณเรียกมันว่าโชคชะตา เมื่อจิตใต้สำนึกเกิดขึ้น ชะตากรรมของคุณก็จะถูกเขียนใหม่” เมื่อพูดถึงการสร้างชีวิตที่เราต้องการ เรามักถูกสอนให้เริ่มต้นจาก จินตนาการถึงสิ่งที่เราต้องการ เรามุ่งเน้นไปที่ตำแหน่งมากกว่าบทบาท วิสัยทัศน์มากกว่าความเป็นจริง และแนวคิดที่ว่างเปล่าและใหญ่โตมากกว่างาน ความรับผิดชอบ และแนวทางปฏิบัติในแต่ละวัน ถึงเวลาที่จะทำลายความหลงใหลในตัวเองของชาวตะวันตกและความหลงใหลใน “ชีวิตที่ยิ่งใหญ่” การทำลายสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เราจะสามารถมีชีวิตที่เราต้องการได้อย่างแท้จริง ต่อไปนี้เป็นบางสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับตัวเองก่อนที่คุณจะสามารถเลือกชีวิตที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตที่คุณคิดว่าคุณจะมีชีวิตอยู่

What do you want your daily tasks to be?

We’re instructed to choose the life we want based on what we think we want to be, but we’re only capable of determining that insofar as we are able to think of what it would mean to have the title of a role. We rarely consider the nitty, gritty daily practice that is required for a peaceful, meaningful existence. Instead of “I want to help people each day,” start asking yourself if the way you really want to do that is by caring for people physically, doing the tasks that actually requires. It all sounds flowery and noble when you think of what you want your life to be about, but you must consider the reality. When you go in choosing what you want each day of your life to consist of — how much paperwork, how much time at the computer, how many hours of leisure — you’re able to actually build the existence you want, from the ground up.

เราเลือกชีวิตที่เราต้องการตามความคิดของเราเอง แต่หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการมีตำแหน่งนั้นหมายความว่าอย่างไร เราจึงจะสามารถตัดสินใจชีวิตที่เราต้องการได้ เมื่อคุณคิดถึงเป้าหมายชีวิตของคุณ หลายๆ อย่างอาจฟังดูหรูหราและมีเกียรติ แต่คุณต้องคำนึงถึงความเป็นจริงด้วย เมื่อคุณเริ่มวางแผนชีวิตประจำวันจริงๆ จะต้องคำนึงถึงว่าต้องทำงานมากแค่ไหน ทำงานทุกวันนานแค่ไหน และต้องจัดสรรเวลาว่างไว้เท่าไรจึงจะสามารถสร้างชีวิตในอุดมคติได้อย่างแท้จริง

What kind of person do you want to be? (As opposed to: what titles do you want to have?)

It’s not about choosing what kind of adjective you’d like as a preface to your job title, but what kind of person you want to be doing it. It ultimately doesn’t matter whether you’re a teacher, or student, or editor, or construction worker. It matters what kind of person you want to be while you do those jobs. Are you someone who is kind and understanding? Who spends the better portion of their day conversing with loved ones? Someone who is busy from day break to day end? Someone who is distracted? Attentive? Hard-working? You ultimately are defined not by what you do, but how you do it.

นี่ไม่เกี่ยวกับการเลือกตำแหน่งที่คุณต้องการในที่ทำงาน แต่เกี่ยวกับการคิดว่าคุณอยากเป็นใครในขณะทำงานนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นครู นักเรียน บรรณาธิการ หรือคนงานก่อสร้าง ชื่อเหล่านี้ไม่สำคัญในท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือใครที่คุณอยากเป็นในที่ทำงาน คุณเป็นคนใจดีและใจกว้างหรือไม่? คุณมักจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของคุณหรือไม่ เพราะเหตุใด หรือคุณจะยุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ? คุณเป็นคนขี้เหม่อลอยหรือเปล่า? คุณระมัดระวัง? คุณทำงานหนักไหม? ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่กำหนดคุณไม่ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่อยู่ที่วิธีการที่คุณทำ

What do you want to be remembered for?

What do you want them to say at your funeral? That you wore a small pant size and had a successful job because of which you weren’t able to actually develop relationships? Or that you were loving, and kind, and cared about your work, but cared about people more? Your impermanence is a thing you should meditate on every day: there is nothing more sobering, nor scary, nor a faster-way-to-cut-the-negative-bullshit than to remember that you do not have forever. What defines your life, when it’s all said and done, is how much you influence other people’s lives, oftentimes just through your daily interactions and the courage with which you live your own. That’s what people remember. That’s what you will be known for when you’re no longer around to define yourself.

คุณอยากให้พวกเขาพูดอะไรในงานศพของคุณ? สมมติว่าคุณรักษารูปร่างที่ดีและประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ล้มเหลวในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล? หรือคุณใส่ใจ ใจดี ใส่ใจตัวเองและผู้อื่น? คุณควรคิดเกี่ยวกับมันทุกวัน ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีนิรันดร์ ไม่มีอะไรที่ทำให้มีสติและน่ากลัวไปกว่าการจดจำสิ่งนี้ และมันสามารถหยุดผู้คนไม่ให้คิดอย่างบ้าคลั่งได้ สิ่งที่กำหนดชีวิตของคุณอย่างแท้จริงคือขอบเขตที่คุณส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้อื่น อิทธิพลนี้มักมาจากการมีปฏิสัมพันธ์ในแต่ละวันและความกล้าที่จะใช้ชีวิต นั่นคือสิ่งที่ผู้คนจะจดจำ เมื่อคุณหยุดกำหนดตัวเอง คุณจะเป็นที่รู้จักได้อย่างไร

What comes most effortlessly to you?

We tend to believe — and induce — a kind of difficulty with tasks we determine to be meaningful or profound or important. If the things we love, and especially get paid for, are also effortless, it seems as though they are unmerited. We believe we have to suffer for the things we have and love, when we, in fact, do not. It’s just as worthwhile — if not maybe more so — to figure out what you effortlessly, naturally do, and learn to capitalize on it while not feigning effortlessness, but just allowing it.

เรามักจะเชื่อว่าสิ่งที่เราพบว่าสำคัญอย่างยิ่งนั้นยาก — แม้จะยากที่เราสร้างขึ้นเองก็ตาม หากสิ่งที่เรารัก โดยเฉพาะสิ่งที่เราทำงานหนักไปนั้นไร้ความพยายาม สิ่งเหล่านั้นอาจดูไร้ค่า ค้นหาว่าคุณสามารถทำอะไรได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ และเรียนรู้ที่จะใช้ความสามารถของคุณ อย่าแสร้งทำเป็นว่าเป็นคนง่ายๆ และปล่อยให้ตัวเองมีพลัง สิ่งที่คุณทำในลักษณะนี้ก็มีคุณค่าไม่แพ้กัน

What do you (even unconsciously) believe that your existence is about? Is is random? The act of a higher power?

It doesn’t matter who is right or wrong or totally nuts — we may never know for sure — but it is about developing a personal dogma that serves you. This is the singular most telling belief about a person, because it essentially defines how you approach everything else. If you believe that your fate is yours to choose, you will. If you don’t, you’ll stay victimized, self-pitying, waiting and begging on your knees until some external circumstance shifts and it’s deemed the random work of a higher power. If that’s how you want to exist, that’s your prerogative, but I find that most people don’t. Most people want to reclaim their power and choose for themselves. But that liberation begins with one question: What do you think you’re here for? What’s the point of it all? Explore what you most inherently believe, and then determine how you can live that out to the best of your ability.

หากคุณเชื่อว่าโชคชะตาเป็นของคุณ คุณจะเลือกมัน หากไม่เชื่อก็จะกลายเป็นเหยื่อ รู้สึกสงสารตัวเอง รอสวดมนต์ จนกว่าสถานการณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป เพื่อหลีกหนีจากความเฉยเมย คุณต้องถามตัวเองก่อน: คุณคิดว่าคุณมาทำอะไรที่นี่? ประเด็นทั้งหมดนี้คืออะไร? สำรวจความเชื่อที่ลึกที่สุดของคุณแล้วตัดสินใจว่าคุณจะเพิ่มความสามารถของคุณให้สูงสุดได้อย่างไร

Why do you do what you do each day?

Is it to feel a high? For money? For livelihood? There’s no right or wrong answer here, the point is simply just to know what most strongly motivates you. Even if it’s just making a living, you can fuel a passion project with the desire to more comfortably pay bills each month. Longer-term goals and simple survivalist needs are often the most grounding and constant desires to base yourself in. They should be balanced out with meaningful work and a sense of purpose, but if they are, ultimately, why you do what you do, don’t fight it for some morally superior alternative. Use it to fuel something emotionally-mentally-spiritually positive.

เป็นการแสวงหาความสำเร็จหรือไม่? เพื่อเงิน? เพื่อความอยู่รอด? ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดที่นี่ สิ่งสำคัญคือการรู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณมากที่สุด แม้ว่าจะเป็นเพียงการหาเลี้ยงชีพ แต่คุณก็สามารถหวังว่าจะมีวิธีที่ง่ายกว่าในการชำระค่าใช้จ่ายของคุณ ให้ความหวังนั้นเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายความหลงใหลของคุณ ความต้องการในการเอาชีวิตรอดที่แท้จริงมักเป็นความปรารถนาพื้นฐานที่สุดและยั่งยืนที่สุด ถ้านี่คือเหตุผลสุดท้ายว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น อย่ารู้สึกผิด เพราะสามารถใช้เพื่อกระตุ้นด้านบวกของอารมณ์ จิตวิทยา และจิตวิญญาณของคุณได้

In your fantasy daydreams, who and what are you, and how do other people regard you? คุณเป็นใครในจินตนาการของคุณ? จะทำอะไร? คนอื่นมองคุณอย่างไร?

The recurring thematics of your daily daydreaming represent what you’re actually seeking from others in various areas of your life. This is your subconsciously motivating factor, because it’s the thing you have yet to give yourself.

ธีมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในจินตนาการประจำวันของคุณแสดงถึงสิ่งที่คุณแสวงหาจากผู้อื่นจริงๆ นี่คือแรงจูงใจในจิตใต้สำนึกของคุณและแสดงถึงสิ่งที่คุณยังไม่ได้ให้ตัวเอง

Whatever it is, it’s a projection of the thing you most feel you lack — and, therefore, subconsciously seek from others. Is it that people admire you for your beauty? Your creativity? Your talent? Your success? Your money? Figure out what you crave, and figure out how to feed that need yourself.

ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันเป็นภาพสะท้อนถึงสิ่งที่คุณขาดมากที่สุด ดังนั้น คุณจะแสวงหาสิ่งนั้นจากผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ในจินตนาการของคุณ ผู้คนชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอกของคุณหรือไม่? หรือความคิดสร้างสรรค์ของคุณ? พรสวรรค์ของคุณ? ความสำเร็จของคุณ? ความมั่งคั่งของคุณ? ค้นหาสิ่งที่คุณปรารถนาและวิธีสนองความต้องการนั้น

What do you dislike most about other people?

What you most dislike in others is, in some variation, true of you: you just haven’t been able to acknowledge it yet. The more angrily and fiercely you respond “no” to that idea, the more intensely you are trying to avoid it. Anger = recognition. You don’t lash back at things you don’t, in some way, regard as being real.

สิ่งที่คุณไม่ชอบมากที่สุดเกี่ยวกับผู้อื่นก็คือสิ่งที่คุณไม่ชอบมากที่สุดเกี่ยวกับตัวเองในระดับหนึ่ง คุณยังไม่รู้ตัวเลย คนที่คุณเกลียดจริงๆ แล้วคือสิ่งที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง เราซ่อนข้อบกพร่องและพฤติกรรมที่เราไม่พอใจ แต่เราคาดการณ์ลักษณะเหล่านี้ให้ผู้อื่นตำหนิพวกเขา

So figure out what you most need to heal within yourself by seeing what you most want to change in others. Doing so will free you in a way you can’t imagine. Doing so is a necessary piece of the life-you-want puzzle, because all the energy you’re using trying to avoid, deflect, delusion your way into not acknowledging what you need to heal/change/deal is being wasted, at best, and is actually actively keeping you from the life you want, at worst.

ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในผู้อื่น คุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในการเยียวยาในตัวเองคืออะไร การทำเช่นนี้จะปลดปล่อยคุณในแบบที่คุณไม่เคยคาดคิด เพื่อให้บรรลุถึงชีวิตที่คุณต้องการ การทำสิ่งนี้ให้ดีเป็นส่วนสำคัญ หากคุณใช้พลังงานไปมากในการพยายามหลบหนี สร้างความสับสน และหลอกลวงตัวเอง และไม่ยอมรับว่าคุณจำเป็นต้องรักษา เปลี่ยนแปลง และเผชิญหน้า นี่ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งภายในฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ยังป้องกันคุณจาก ได้รับชีวิตที่คุณต้องการ

What is worth suffering for? ความทุกข์แบบไหนที่คุ้มค่าที่จะทน?

Everything is hard in some way. It’s hard to be in the wrong relationship. It’s hard to be in the right one. It’s hard to be broke and miserable, it’s hard to achieve your dreams. It’s hard to be stuck in the middle, not really feeling anything at all. Everything is hard, but you choose your hard. You choose what’s worth it. You don’t choose whether or not you’ll suffer, but you do choose what you want to suffer for.

ทุกอย่างเป็นเรื่องยากในทางใดทางหนึ่ง การมีความสัมพันธ์ที่ผิดนั้นขมขื่น และความสัมพันธ์ที่ถูกต้องก็ผสมกับความขมขื่นเช่นกัน ความอกหักและความเจ็บปวดนั้นยาก และความยากลำบากที่มาพร้อมกับการบรรลุความฝันก็เช่นกัน การยืนอยู่บนทางแยกของชีวิต รู้สึกสูญเสีย และสูญเสีย ก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งเช่นกัน ทุกอย่างขมขื่น แต่ความขมขื่นของคุณอยู่ที่คุณเลือกเอง คุณคิดว่าความทุกข์นี้มีค่า คุณไม่สามารถเลือกได้ว่าจะทนทุกข์หรือไม่ แต่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะทนทุกข์เพื่ออะไร

What owns you in this life?

Is it your desire for happiness? The past? The relationship that almost-was-but-ultimately-didn’t? Your body hang up? Your fear? Your loneliness? Your lack of self-worth? Everybody has one thing that ultimately owns them, drives them, controls them at some visceral level. It’s the pattern that everything else is rooted in, it’s the issue that crops up again and again. It’s what you insatiably seek, run away from only to find you ran right into. What owns you in this life makes up the majority of what you do, so you need to know what it is. It’s usually not about freeing yourself from these ties that bind you, but learning to wield them for a greater purpose. Finding the shard of empathy and hope and understanding, tucked deeply within your existential suffering. There is a purpose to all things. Your job is not to understand why, but just to find it in the first place.

มันเป็นความปรารถนาของคุณที่จะมีความสุขหรือไม่? มันเป็นอดีตเหรอ? มันเป็นความสัมพันธ์ที่เกือบจะประสบความสำเร็จแต่กลับพลาดไปหรือเปล่า? มันเป็นอาการทางจิตของคุณหรือไม่? ความกลัวของคุณ? ความเหงาของคุณ? คุณค่าในตัวเองหายไปใช่ไหม? ทุกคนถูกครอบงำ ขับเคลื่อน และควบคุมโดยบางสิ่งที่เกือบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ มันเป็นรูปแบบที่ทุกอย่างหยั่งรากลึกลงไป และปัญหานี้ก็จะปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า คุณพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบหนีจากมัน แต่กลับพบว่าตัวเองกำลังวิ่งเข้าไปหามัน คุณต้องเข้าใจว่าอะไรควบคุมสิ่งที่คุณทำส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากข้อจำกัดเหล่านี้ แต่เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้มันเพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า เราไม่สามารถหลีกหนีความเจ็บปวดได้ เราทำได้เพียงยอมรับความเจ็บปวด และการยอมรับคือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด

จาก 101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ (101 Essays That Will Change The Way You Think) ผู้เขียน Brianna Wiest

ตัดแปะโดย เฉลิมชัย เอื้อวิริยะวิทย์

--

--